ช่วยแนะนำตัวหน่อยค่ะ
สวัสดีครับ ผมชื่อหนุ่ม ปิยณัฐ สร้อยคำ ผมจบปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้รับทุนให้เปล่าจากรัฐบาลอินเดียไปเรียนต่อปริญญาโทด้านเดียวกันที่มหาวิทยาลัยออสมาเนีย เมืองไฮเดอราบาด
ภายหลังเข้าทำงานเป็นนักวิชาการที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ก่อนที่จะได้รับทุนเรียนดีทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย (ทุน สกอ.) มาศึกษาต่อด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ปัจจุบันผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูวส์ สกอตแลนด์ หลังสำเร็จการศึกษา ผมเลือกกลับไปใช้ทุนที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี บ้านเกิดของผมเองครับ
ทำไมถึงตัดสินใจเรียนปริญญาเอก
จริงๆแล้วก็สงสัยตัวเองเหมือนกันครับ ว่าทำไมผมจึงตัดสินใจเรียนปริญญาเอก ทั้งๆที่ผมเองเป็นคนที่ชอบทำงาน และทำกิจกรรมมาโดยตลอด จุดเปลี่ยนสำคัญคงจะเป็นช่วงก่อนเรียนจบปริญญาโทที่ตอนนั้นผมกำลังเข้าสู่วัยเบญจเพสและคิดหนักใน 3 เรื่องคือ ชีวิตส่วนตัว การทำงานในอนาคต และการแสวงหาความรู้
เรื่องแรกคือชีวิตส่วนตัว ผมเองนั้นเป็นคนชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยวไปยังรัฐต่างๆ สมัยเรียนที่อินเดีย ซี่งผมรู้สึกว่ายังอยากหาประสบการณ์ให้มากขึ้น ในใจตอนนั้นเลยพยายามหาทางที่จะได้ใช้ชีวิตในต่างแดนอีกสักระยะ ผมจึงคิดว่าการเรียนปริญญาเอกคงจะช่วยให้ผมได้เดินทางท่องโลกมากขึ้น เลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง
เรื่องที่สองคือ การทำงานในอนาคต ผมเคยคิดว่าถ้าหากเข้าสู่ระบบราชการ กว่าที่ผมจะเติบโตในหน้าที่การงานมันต้องใช้เวลานาน ผมเลยคิดไปเองเลยว่าถ้าไปเรียนปริญญาเอก ใบปริญญาจะทำให้ผมเดินเร็วกว่าคนอื่นๆ พอมาตอนนี้ผมว่าผมคิดผิดครับ เพราะไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ การเรียนปริญญาเอกก็เป็นอีกเส้นทางหนี่ง ซี่งไม่ได้การันตีความสำเร็จ ความก้าวหน้า หรือความช้าและเร็วในชีวิตเลยครับ
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องเชิงวิชาการหน่อยๆ คือด้วยความที่ผมสนใจเรื่องนโยบายการต่างประเทศอินเดียและเอเชียใต้ มาตั้งแต่สมัยปริญญาตรี และพอปริญญาโท ก็ได้ทุนไปเรียนที่อินเดีย ในใจเลยคิดว่าไหนๆ ก็เดินทางสายนี้แล้ว หากมีโอกาสก็ควรเดินไปให้ถึงที่สุด เพราะหากทำได้ ผมก็จะสามารถเป็นทรัพยากรบุคคลทางด้านอินเดียและเอเชียใต้ศึกษาของไทยได้ เลยตัดสินใจหาทุนเรียนต่อปริญญาเอกครับ
ชีวิตการเรียนปริญญาเอกในช่วงนี้ เป็นอย่างไรบ้างคะ super busy ไหม
ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนแล้วครับ ผมเพิ่งส่งร่างสุดท้ายของวิทยานิพนธ์ฉบับเต็ม รอบที่ 4 ให้อาจารย์ที่ปรึกษาไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างรอความเห็นของอาจารย์ เลยพอมีเวลาได้พักหายใจอยู่บ้างครับ แต่ก่อนหน้านี้ก็วุ่นๆ ตามประสาครับ
ช่วยเล่าให้ฟังว่า การใช้ชีวิตในต่างแดน เป็นอย่างไรบ้าง
หลายคนอาจจะสนุกกับการใช้ชีวิตต่างแดน แต่สำหรับผม ผมเหงานะ ชีวิตในต่างแดนค่อนข้างเหงาเพราะเมืองที่ผมอยู่เป็นเมืองที่เล็กมาก อยู่ตอนบนของสก็อตแลนด์ ปลายติ่งทะเลเหนือ เล็กขนาดที่ไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่มีร้านขายของเอเชีย ไกลขนาดที่รถไฟเข้าไม่ถึง ชีวิตกลางคืนก็แทบจะไม่มี คนไทยก็ไม่มากแทบจะนับหัวได้ ส่วนสภาพอากาศก็ค่อนข้างหม่น ยิ่งช่วงหน้าหนาวที่มีช่วงกลางวันแค่ 6 ชั่วโมงแถมฝนตก ลมแรง ยิ่งต้องฝึกความอดทนค่อนข้างสูง
ด้วยสภาพเช่นนี้เลยทำให้ผมต้องปรับตัวให้เข้ากับความเงียบอยู่เยอะทีเดียว แต่มันก็ดีตรงที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองมากขึ้นและหัดทำกับข้าวได้หลากหลายเมนูเลยครับ
แต่ผมว่าผมก็โชคดีนะ หลังจากได้ใช้ชีวิตแบบมีสีสันตอนเรียนโทที่อินเดีย พอมาเรียนเอกที่สก็อตแลนด์ ก็ได้ลองใช้ชีวิตเทาๆ ซี่งอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรได้ และทำอะไรไม่ได้บ้าง
เมื่อมาเรียน ปริญญาเอกแล้ว มีการแบ่งเวลาในชีวิตอย่างไรบ้าง
เรื่องการแบ่งเวลานี่ไม่ค่อยมีหลักตายตัวเลยครับ คือแต่ละปีชีวิตปริญญาเอกมันจะมีเส้นทาง รูปแบบ และความเร่งรัดที่ต่างกันออกไป ในช่วงปีแรกๆ ผมแทบจะไม่แบ่งเวลาอะไรเลย ทำทุกอย่างผสมผสานปนเปกันไปหมด เวลากิน เวลานอน ก็ไม่เป็นระบบ อาจเป็นเพราะในช่วงปีต้นๆ ผมยังจับทางการเรียนไม่ได้
แต่พอช่วงปีท้ายๆ ชีวิตเริ่มดีขึ้นมาหน่อย เพราะผมเริ่มรู้แน่ชัดว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ งานมีเหลือมากน้อยเท่าไหร่ และเริ่มรู้ว่าขีดความสามารถที่จะทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละวัน อยู่ในระดับไหน
ผมเลยพยายามตื่นให้ได้ก่อน 8 โมง ทำธุระให้เรียบร้อย แล้วเริ่มอ่านเขียนงานตั้งแต่ 9 โมง ถึงบ่าย 4 โมงเย็น พักเที่ยงได้ 1 ชั่วโมง พอตกเย็นมา ผมก็วางทุกงาน ไปออกกำลังกายบ้าง ดูหนังบ้าง กินข้าวกับเพื่อนบ้าง และพยายามนอนไม่เกินเที่ยงคืนครับ ชีวิตในปีหลังๆผมจะเป็นแบบนี้มาตลอด เลยคิดว่าผมน่าจะเจอการแบ่งเวลาที่เหมาะกับตัวเองแล้วครับ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเชื่อในเรื่องนาฬิกาของชีวิตมากขึ้น ว่าแต่ละคนมีกรอบเวลาในการเดินของตนเอง จะเร็วบ้าง จะช้าบ้างก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้นาฬิกาของคนอื่นมาขีดเส้นเวลาชีวิตของเราครับ
สิ่งที่ยากที่สุด ในการเรียนปริญญาเอกคืออะไร
ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนปริญญาเอกคือการบอกตัวเองว่าให้เดิน เดินไปเรื่อยๆ ทั้งที่เราไม่รู้ว่าเรากำลังเดินไปไหน แต่เราต้องบอกตัวเองว่า ให้เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในจังหวะและความเร็วที่คิดว่าเราจะสามารถประคองตัวเองไปให้ถึงฝั่งโดยไม่ล้มไปเสียก่อนครับ
ถ้าหากถามว่าผมเจอปัญหาอะไรที่หนักมากที่สุดในตอนเรียนปริญญาเอก ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเรื่องของการจัดการความสัมพันธ์ครับ คือก่อนมาเรียนผมได้ตกลงใช้ชีวิตกับคนคนหนี่งและมีพันธะสัญญาต่อกันว่า หลังเรียนจบจะได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ ซึ่งข้อตกลงนี้เป็นที่รับรู้ของทั้งสองครอบครัวครับ
แต่ด้วยความห่างไกลของระยะทาง เวลาที่แตกต่างกัน บริบทที่เปลี่ยนไป จึงทำให้มีช่องว่างที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดความไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์ ผมว่ามันลำบากมากที่จะบอกว่าใครถูกหรือผิดเพราะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ปัญหานี้มันก็ส่งผลมากจนทำให้ชีวิตการเรียนปริญญาเอกของผมสั่นคลอนไปเยอะ
ในช่วงปีที่เกิดเรื่อง แม้ภายนอกผมจะดูปรกติ แต่ผมกลายเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น เข้าสังคมน้อยลง ตื่นเช้ามาแค่ปั่นงานให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อตกเย็นก็ต้องดื่มให้หนักที่สุดเผื่อที่จะหลับไปให้ง่ายที่สุดเช่นกัน น้ำหนักทะยานพุ่งขึ้น ผมไม่ปริปากบอกใครในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งคนในเมืองเดียวกัน รูมเมท และเพื่อนที่มหาวิทยาลัยก็ล้วนแต่ไม่มีใครรู้ ว่า ณ ตอนนั้นผมแทบไม่ค่อยไหวแล้ว นี่รวมถึงพ่อแม่ซึ่งผมไม่ได้บอกเพราะผมรู้ว่าพวกท่านจะเป็นห่วงผมที่สุด
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือไม่ ผมสามารถผลักตัวเองให้ทำร่างแรกของวิทยานิพนธ์เสร็จและส่งให้ที่อาจารย์ปรึกษาดู ในวันที่ผมเดินเข้าไปคุยความคืบหน้า อาจารย์ที่ปรึกษาผมถามว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมตอบท่านด้วยรอยยิ้ม
จังหวะนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาถามผมอีกครั้งว่า “นี่ยิ้มจริงๆ หรือ เพียงแค่ยิ้ม” ผมได้ยินแค่นั้น ผมแทบกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ได้ มันเหมือนมีคนมาแตะเข้าไปจังๆ ที่ความรู้สึก วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ใครสักคนฟัง
และผมเข้าใจเลยว่าผมโชคดีมาก ที่ผมได้ “ครู” ดี เพราะนอกจากจะสังเกตถึงปัญหาส่วนตัวผ่านงานเขียนของผมแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษายังใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมงในการให้แนวทางผมสำหรับรื้อวิทยานิพนธ์ใหม่ทั้งเล่ม ที่หากพูดแบบสายวิทยาศาสตร์ นี่เป็นวิทยานิพนธ์ที่ผลการทดลองล้มเหลว ซึ่งเท่ากับว่า ปัญหาของความสัมพันธ์มันก็ส่งผลค่อนข้างมากต่อการเรียนเช่นเดียวกัน
ผมคิดว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เจอปัญหาและอุปสรรคที่แตกต่างกัน ปัญหาที่ผมเจออาจจะเป็นปัญหาเล็กๆของใครหลายๆคน แต่ผมว่าวิธีการจัดการกับปัญหาที่เข้ามานี่สำคัญมากครับ
ผ่านด่านปัญหาในการเรียนมาได้อย่างไร
เอาเรื่องการจัดการความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวก่อนนะครับ ผมว่า ก่อนอื่นเลยคือการยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันได้เกิดขึ้นจริงและได้จบลงแล้ว การยอมรับถึงปัญหาเหล่านั้นจะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดได้ดีกว่าการพยายามลืมครับ
หลังจากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ได้แล้ว ผมปรับตัวเองใหม่ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการสร้างสมดุลย์ระหว่างการเรียน การงานและการใช้ชีวิต ออกกำลังกายบ่อยครั้ง กินอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้อยลง ทำให้น้ำหนักลงไปเยอะเลยครับ
แม้ตัวผมเองจะไม่ค่อยบ่นพร่ำเพรื่อ แต่เมื่อสังเกตอารมณ์ตัวเองว่ามีความกังวลแล้ว ผมจะพูดคุยและระบายสิ่งที่ผมรู้สึกให้คนรอบข้างฟัง โดยเฉพาะเพื่อนสนิท รวมถึงปรึกษานักจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยซึ่งมีให้บริการสำหรับนักศึกษา ผมว่าการรู้จักแสวงหาความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมในเวลาที่จำเป็น มีความสำคัญมากสำหรับนักศึกษาปริญญาเอกครับ
นอกจากนี้ ผมว่าการคิดบวกและยิ้มรับกับสิ่งที่เข้ามาก็มีความจำเป็นครับ ผมยังคงมีความหวังและเป้าหมายให้กับชีวิตเหมือนเดิม แต่ก็ยินดีกับความล้มเหลวและความผิดหวังที่ช่วยหล่อหลอมผมให้กลายเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งมากขึ้นครับ
อะไรคือบทเรียนสำคัญ ที่ปริญญาเอกให้กับคุณ
ผมว่า บทเรียนที่สำคัญที่สุดของชีวิตปริญญาเอกคือ คือกระบวนการการเรียนรู้ที่จะผิดหวัง
เวลาเรามีความตั้งใจที่จะผลิตงานสักชิ้น เราจะแน่วแน่มากๆ และเมื่อทำสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง ความเป็นอัตตาที่ถ่ายทอดลงไปในงานจะมีสูงมาก มากจนคิดว่า งานที่เราทำคือที่สุดแล้ว บางคนอาจเลยเถิดไปจนคิดว่าเก่งและรู้มากกว่าคนอื่น
ดังนั้น วิธีการกำหราบความคิดนี้ คือการนำงานของเราเข้าไปถูกทดสอบ ไปถูกวิพากษ์ ไปถูกตั้งคำถาม จากทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาบ้าง กรรมการภายนอกบ้าง เป้าหมายของกระบวนการนี้คือการฝึกให้เราเรียนรู้ที่จะแพ้ จะผิดหวัง จะปรับแก้งานตามคำแนะนำ และที่สำคัญจะผสมผสานระหว่างความเป็นตัวเองและความเป็นผู้อื่นในงานของเราได้อย่างไร
ผมว่าท้ายที่สุด หัวใจของการเรียนปริญญาเอกคงจะเป็น การที่เราเข้าใจงานของเราให้มากและซับซ้อนที่สุด และในขณะเดียวกันเราต้องทำให้คนอื่นเข้าใจงานของเรา ให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อจบปริญญาเอกแล้ว คิดว่าจะทำอะไรเป็นอย่างแรกคะ
อย่างแรกเหรอครับ ผมคงจะกลับบ้านไปกราบพ่อและแม่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองท่านคือคนที่อยู่เคียงข้างผมในทุกช่วงการตัดสินใจ ตั้งแต่การเลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศส สมัยมัธยมฯปลาย หรือแม้กระทั่งการตัดสินในเรียนเกี่ยวกับอินเดีย
ซึ่งผมต้องขอบคุณพ่อและแม่ที่ให้อิสระผมในการเลือกตัดสินใจในทุกเรื่องด้วยตัวเอง และอดทนต่อคำถามถึงอนาคตของผมที่คนรอบข้างถามเข้ามาอย่างถาโถม หลังจากนั้นคงทยอยไปหาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ครูบาอาจารย์ที่คอยให้กำลังใจครับ
มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่สนใจสมัครเรียนปริญญาเอก
สิ่งแรกที่ผมอยากแนะนำในการเตรียมตัวเพื่อเข้าศึกษาในระดับปริญญาเอกคือ การเขียนเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเรียนและอยากเรียนเกี่ยวกับอะไร เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกท้อ จะได้กลับมาย้อนอ่านเหตุผลที่เคยให้กับตัวเองไว้เพื่อสร้างกำลังใจ ผมคิดว่า Passion คือสิ่งสำคัญที่สุดในการศึกษาระดับนี้ และจะเป็นสิ่งที่ประคองให้เราสามารถเดินไปจนถึงฝั่งได้
หลังจากแน่วแน่แล้วว่าจะเรียนปริญญาเอก วิธีการสมัครเข้าศึกษาผมคิดว่ามี 2 ทางใหญ่ๆครับ คือช่องทางที่ 1 ผ่านการสมัครเข้าไปในโครงการวิจัย ที่อาจารย์ในแต่ละมหาวิทยาลัยมองหานักศึกษาเข้าไปร่วมทำงานด้วย ในส่วนนี้เราสามารถสามารถยื่นใบสมัครของเราตามประกาศได้เลยครับ แต่ข้อเสียคือหัวข้อที่มีให้อาจจะไม่ตรงใจกับสิ่งที่เราอยากทำ
ช่องทางที่ 2 ซี่งเป็นวิธีที่ผมเลือกใช้ในปัจจุบัน คือเลือกเรื่องที่ใช่ และไปแสวงหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่ชอบ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นต้องพยายามคิดให้ตกผลึกถึงหัวข้อวิจัยที่เราจะทำ อาจขอความคิดเห็นจากอาจารย์สมัยปริญญาตรีหรือปริญญาโท เพื่อมาปรับปรุงแนวทางด้วยครับ เมื่อได้หัวข้อที่คมชัดแล้ว ก็เตรียมเค้าโครงงานวิจัยของเราให้เรียบร้อย เพื่อส่งไปยังว่าที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเราในอนาคต หากได้รับการตอบรับจากอาจารย์ที่ปรึกษาก็ดำเนินการสมัครเข้าศึกษาต่อได้เลยครับ
และเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้ว ต้องฝึกตัวเองให้เป็น Independent Scholar คือสามารถที่จะวางแผนและกำหนดทางเดินของตนเอง ไปพร้อมๆกับการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผมว่าหลักๆของการเรียนปริญญาเอกคงเตรียมตัวประมาณนี้ครับ
…………………..
เพจก็แค่ปริญญาเอก ขอขอบคุณข้อคิด ประสบการณ์ ที่ล้ำค่า จากคุณหนุ่ม ปิยณัฐ สร้อยคำ ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะก้าวเดินบนเส้นทางการเรียนปริญญาเอกนี้ หรือสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างเส้นทางนี้ และเราขอส่งกำลังใจให้กับคุณหนุ่มในช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนปริญญาเอก มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
เพจก็แค่ปริญญาเอก ยินดีเปิดพื้นที่สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์การเรียนปริญญาเอก เชิญชวน inbox มาหาเรา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆคนอื่นกัน