วันนี้คอลัมน์แขกรับเชิญ ของเพจก็แค่ปริญญาเอก ที่มาทักทายและแบ่งปันข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการเรียนปริญญาเอก คือ ดร.โอม ที่เขาบอกว่า 7 ปีในการเรียนปริญญาเอกนั้นคุ้มค่ามาก…
แนะนำตัวนิดนึง ค่ะ
สวัสดีครับ ผม อาจารย์ ดร.โษฑศ์รัตต ธรรมบุษดี ชื่อเล่นชื่อ โอม ครับ เรียนจบ Ph.D.ด้าน Information Technology มาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (SIT) ครับ โดยสาขางานวิจัยที่ทำตอนเรียนอยู่คือ Data Mining และ กฎหมายอาญาครับ
ทำไมถึงตัดสินใจมาเรียนปริญญาเอก
จริงๆ ตอนแรก คือเพราะได้ทุนครับ (ยิ้ม) ตอนที่จบปริญญาตรีใหม่ๆ ปุ๊บ ก็มีความคิดว่า อยากเรียนต่อ แล้วได้ไปสมัครทุนพัฒนาอาจารย์ และได้รับการคัดเลือกครับในการเรียนปริญญาโทและปริญญาเอก ก็เลยเหมือนกับเป็นเส้นทางชีวิตที่ขีดตรงมาเรื่อยๆ
แต่ระหว่างที่เรียนทั้งโท-เอก ก็ทำงานพิเศษหลายอย่างครับ หนึ่งในนั้น คือเป็นผู้ช่วยสอนกับเป็นติวเตอร์เด็กนักเรียนมอปลาย ด้วย ระหว่างนั้นก็คิดว่า ตัวเองชอบสอนหนังสือด้วยครับ
ระหว่างเรียนปริญญาเอก ได้พัฒนาทักษะอะไรบ้าง
ต้องเกริ่นก่อนนะครับว่า ตอนที่มีโอกาสได้เข้าเรียนเนี่ย ถือว่าเด็กมาก จบปริญญาตรีอายุ20 จบปริญญาโทอายุ 22 แล้วได้เข้าเรียนPh.D.ตอนอายุ23 ถือว่า เบบี๋มาก แล้วได้มีโอกาสมาเรียนในสถาบันที่มีความเป็นมืออาชีพด้านการทำงานและการทำวิจัยมากๆ ด้วย
ตอนเข้ามาตอนแรกที่มั่นใจในตัวเองมากๆ แต่เข้ามาปีแรกๆ มานี่ ความมั่นใจหายหมดเลย (หัวเราะ) ระหว่างที่เรียน ได้จดจ่อกับการทำวิจัย ได้ร่วมทำงานกันอย่างมืออาชีพ กับทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และเพื่อนนักวิจัยด้วยกัน
ถ้าถามว่า ได้เรียนรู้อะไรบ้าง เยอะมากครับ การทำงาน การใช้ชีวิต ความเอาใจใส่ในกระบวนการ ทักษะการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
พบเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
อุปสรรคเยอะมากเลยครับ (หัวเราะ) และคิดว่า น่าจะเจอกันทุกคน แต่สำหรับผมปัญหาอย่างแรกที่พบคือ เรื่องของหัวข้อที่เลือกเรื่องการใช้เทคโนโลยี Data Mining ไปประยุกต์ใช้กับกฎหมายอาญา ซึ่งโดยพื้นฐานผมไม่มีพื้นทางด้านกฎหมายเลย แต่ช่วงนั้น อยากทำหัวข้อที่มี Impact ต่อสังคม เลยเลือกทำเรื่องแบบนี้ครับ
ก็ใช้เวลาศึกษาเพิ่มพอสมควร ปัญหาอีกอันคือ เวลาครับ แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็มีงานพิเศษอยู่เรื่อยๆ จนบางที กินเวลาเรียนไป จนไม่ได้จดจ่อกับงานวิจัยเท่าไหร่ รวมถึงปัญหาที่ว่า เราได้มาร่วมทำงานกับของจริง เราก็ต้องปรับตัวพอสมควร
จุดเปลี่ยนอีกอันคือ อาจารย์ที่ปรึกษาครับ อาจจะเพราะสไตล์เรากับอาจารย์ที่ปรึกษาคนแรกไม่ตรงกัน จนบางครั้งเรากลัวที่จะเข้าไปหาอาจารย์ด้วยซ้ำ มีบางทีไม่ได้เจอกันเป็นเดือนก็มี พอไม่ได้เจอก็เครียด ฟุ้งซ่าน คิดเยอะ งานก็ไม่ออก
จนมาวันนึง อาจารย์ท่านบอกว่า เค้าต้องย้ายไปต่างประเทศ ตอนนั้นเหมือนฟ้าผ่าเลยครับ คิดอยากจะเลิกเรียนเลย คิดสั้นก็มีแวบเข้ามาด้วย
แต่สุดท้ายวิกฤตินี้ก็ทำให้เราได้มีโอกาสได้เริ่มกับอาจารย์อีกท่าน ซึ่งมีสไตล์การทำงานที่เป็นระเบียบมีแบบแผน และใส่ใจนักศึกษามากๆ อาจารย์ท่านอ่านงาน แนะนำ แม้ว่าบางทีเราจะรู้ว่า สิ่งที่เราส่งไปมันไม่ได้เรื่อง แต่อาจารย์ก็แนะนำ มีทั้งไม้แข็งไม้อ่อน (หัวเราะ)
กว่าที่ผมจะจบได้ ก็แทบตายเหมือนกัน แต่ระยะเวลา 7 ปีในการศึกษาที่บางคนมองว่านาน สำหรับผม ผมว่า มันคุ้มค่าครับ
ผ่านช่วงเวลาที่ยากของด่านปริญญาเอกมาได้อย่างไร
นอกเหนือจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ครอบครัวและคนรอบข้างก็สำคัญครับ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ใจเราเอง
ทุกคนเคยมีโมเมนต์ ท้อถอย ท้อแท้ อยากเลิก ไม่รู้จะทำอะไรแค่เปิดคอมมาก็ถอนหายใจแล้ว อะไรประมาณนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องสู้กับมันต่อครับ ต้องใช้ชีวิตให้เป็น แบ่งเวลาในการพักผ่อน ออกไปเที่ยว หรือกิจกรรมอื่นๆที่เป็นการชาร์จแบตให้ชีวิต แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันครับ
คิดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรียนสำเร็จมีอะไรบ้าง
ขอเรียงลำดับจากมากไปน้อยนะครับ 1.ตัวเราเอง 2.อาจารย์ที่ปรึกษา 3.หัวข้อวิทยานิพนธ์ 4.เวลา ผมว่า ถ้า 4 ปัจจัยนี้แข็งแรง ปัจจัยอื่นก็แทบไม่มีผลครับ
ปัจจุบันทำงานอะไรคะ และได้ใช้ทักษะ ความรู้จากการเรียนมาประยุกต์ใช้กับงานอย่างไรบ้าง
ปัจจุบันทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่หลักสูตร IT Management คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลครับ โดยรับผิดชอบเป็นอาจารย์ประจำหลักสูตรระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
สิ่งที่เป็นผลจากการบ่มเพาะมาตลอด7ปีที่ได้เรียน สิ่งหนึ่งที่ได้คือการทำงานอย่างมืออาชีพครับ การเข้าสอนตรงเวลา การเตรียมการสอนอย่างมืออาชีพ การมีความใส่ใจกับนักเรียนทั้งในบทบาทของผู้สอนกับอาจารย์ที่ปรึกษา โดยเฉพาะบทบาทการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ผมจะถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับนักศึกษาเสมอๆ ครับ
การประชุมตรงเวลา และมีการเตรียมประชุมไม่กินเวลาทำงานของผู้ร่วมงาน การทำงานวิจัยอย่างเป็นระบบแบบแผน ความใส่ใจในกระบวนการทำงาน และที่สำคัญที่สุด คือการให้เกียรติ และไม่มักง่ายกับการศึกษา เพราะเรารู้ว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนมันต้องมาจากกระบวนการที่มีความใส่ใจครับ
สุดท้าย มีข้อคิดอะไรอยากฝากอะไรไว้ให้ผู้ที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่บ้าง
“ปลายทาง” ของคนที่เรียนทุกคนก็คือใบปริญญาครับ แต่สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้เรียนคือ “ระหว่างทาง”คุณเก็บเกี่ยวอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ในช่วงแรก ที่ผมเคว้งไป เพราะผมตั้งเป้าว่า ทำยังไงก็ได้ให้จบ ซึ่งมันไม่ใช่วิธีคิดที่ดีเลย
การที่คุณเป็นดุษฎีบัณฑิตที่มีคุณภาพ นอกจากดีกับตัวคุณเอง ยังดีต่อสถาบันและประเทศชาติด้วยครับ เพราะ “ระหว่างทางสำคัญกว่าปลายทาง” ครับ
เพจก็แค่ปริญญาเอก ขอขอบคุณการแบ่งปันข้อคิดและประสบการณ์จากดร.โอม ที่เป็นแรงบันดาลใจที่ดียิ่งให้ใครอีกหลายคนที่สนใจหรือกำลังเดินอยู่บนเส้นทางการเรียนปริญญาเอกนี้
เพจก็แค่ปริญญาเอก ยินดีเปิดพื้นที่สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์การเรียนปริญญาเอก เชิญชวน inbox มาหาเรา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ คนอื่นกันค่ะ
แขกรับเชิญคนต่อไปจะเป็นใคร ติดตามได้ที่นี่ ที่เดียว!!