วันนี้ “เพจก็แค่ปริญญาเอก” เปิดบ้านต้อนรับ ดร.สิทธิวุฒิ เจริญสุทธิวรากุล นักวิจัยหลังปริญญาเอก ด้าน Anti-infective Drug Discovery จากLiverpool School of Tropical Medicine
ช่วยแนะนำตัวหน่อยค่ะ
ผมชื่อสิทธิวุฒิ เจริญสุทธิวรากุล ชื่อเล่นตามที่แม่ตั้งคือ “เท่” แต่เพื่อนเรียกว่า “แหนม” มาตั้งแต่สมัยมัธยม เลยตามเลย แหนมก็แหนม
ปัจจุบันจบปริญญาเอกแล้ว ทางเคมีเน้นงานวิจัยทาง Medicinal Chemistry จาก University of Liverpool ตอนนี้ทำงานวิจัยหลังปริญญาเอกทางด้าน Anti-infective Drug Discovery อยู่ที่ Liverpool School of Tropical Medicine
รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการติดต่อมาขอสัมภาษณ์ เรียกได้ว่าตกใจเหมือนกัน เพราะแหนมเองก็อ่านติดตามเพจนี้มาเรื่อยๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังเรียนปริญญาเอก มา ณ ที่นี้ด้วย
ทำไมถึงตัดสินใจเรียนปริญญาเอก
ย้อนกลับไปนานมาก ย้อนไปถึงสมัย ม.ปลายดีกว่า คือแหนมเป็นคนชอบเรียนวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่ ม. ปลาย แต่ถ้า ม.ต้น นี่เป็นอีกเรื่องเลย คือเกลียดวิทยาศาสตร์มาก แต่ที่ภายหลังเปลี่ยนมาชอบ เพราะวิทยาศาสตร์อธิบายสิ่งที่เราอยากรู้ได้กว้างขวางขึ้น และมีเหตุผลด้วย เอาจริงๆ ตอนนั้นชอบวิชาเคมีมาก ชอบในแบบที่ว่า ไปเรียนและสอบในโครงการพวกโอลิมปิกวิชาการ แต่อย่าถามว่าไปไกลแค่ไหน เพราะไปไม่ไกลเลย ไม่ได้เข้าค่ายสอง สาม สี่ อะไรทั้งนั้น แต่คือได้เรียนวิชาเคมี ซึ่งเป็นในส่วนที่เป็นพื้นฐานของวิชาในมหาลัย และมันทำให้เราชอบและเห็นถึงความสำคัญของวิชานี้
โชคดีอีกอย่างหนึ่งคือ ห้องสมุดของสวนกุหลาบฯ มีหนังสือเคมีระดับมหาลัยของต่างประเทศเยอะมาก ก็ได้ห้องสมุดนี่แหละเป็นเครื่องดับกระหายความอยากรู้ เพราะสมัยนั้นอินเตอร์เน็ต dial-up อย่าได้คิดจะค้นอะไรทั้งสิ้น ยิ่งได้อ่านเยอะขึ้น ก็มีความคิดเลยว่า อยากทำงานที่ได้คิดค้นอะไรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเคมีที่เกี่ยวกับยา
ที่นี้พอเรียน ม ปลาย มันก็ต้องมีเอนทรานซ์ใช่มะ สมัยนั้นคือรุ่นแหนมเป็นรุ่นแอดมิชชันรุ่นแรก ตอนนั้นก็เล็งคณะไว้เยอะ ตามที่คนเค้านิยม ก็มีแพทย์ เภสัช วิทยาศาสตร์เคมี แพทย์นี่ตัดทิ้งก่อน จริงๆก็เสียดาย เพราะตอนนั้นติดรามาฯด้วย เอาจริงๆ เพราะเป็นคนกลัวเลือด กลัวมากด้วย ถึงกับเป็นลมเมื่อดูหนังจำพวก Saw เพราะฉะนั้นก็อย่าเสี่ยงดีกว่า ทีนี้มีเภสัช กับวิทยาศาสตร์ บังเอิญตอนนั้น ไปสอบทุนของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลไว้ ชื่อทุนศรีตรังทอง เรียนฟรี ได้เงินเดือนระหว่างเรียน ไม่มีข้อผูกมัดด้วย ก็เลยคิดว่า เอ้ย ดีจัง เรียนวิทยาศาสตร์ก็ได้ ก็ตั้งใจแต่แรกแล้วล่ะ ว่าอยากจะเรียนเคมี
แรงบันดาลใจในการเรียนต่อปริญญาเอก
พอก้าวเข้าคณะวิทยาศาสตร์ปุ๊ป โอ้โห สิ่งแรก อาจารย์ทุกคนจบเอกต่างประเทศหมดเลยอะ ทำงานวิจัยที่หรูหราอลังการ ในใจคิดละ ถ้าเราจะเป็นแบบนั้นบ้าง เราก็คงต้องเรียนถึงระดับนั้นเหมือนกัน
แล้วในคณะวิทย์ มีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งมากอย่างนึง คือการวิจัย เดินไปมาในคณะ ทุกคนพูดถึงแต่งานวิจัย การตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ ถ้าอาจารย์ท่านไหนมีงานวิจัยดีๆ ได้ตีพิมพ์ในวารสารดีๆ ไปได้รางวัลอะไรมา ทุกคนก็จะพูดถึง มันยิ่งทำให้ นักศึกษาอย่างเราอยากทำงานวิจัยดีๆ อยากมีผลงานดีๆบ้าง ก็เลยตั้งใจว่ายังไงเราก็ต้องเรียนถึงระดับนั้นให้ได้
พอเราวางแผนว่าจะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือภาษาอังกฤษ เพราะแหนมไม่ใช่คนที่เรียนโรงเรียนหรือมหาลัยอินเตอร์มาก่อนเลย โชคดีที่สุดเลยคือ ตอนเรียน ปริญญาตรีปีที่สี่ อาจารย์ที่ปรึกษา รศ.ชุลีวัลย์ ราษฎร์วิรุฬห์กิจ แนะนำให้ไปสอบภาษาอังกฤษเอาคะแนนเก็บไว้ก่อนเรียนจบ ด้วยความที่เราค่อนข้างจะเตรียมตัว เรื่องภาษาอังกฤษมาสักพักนึงแล้ว คือเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่อยู่ปี 2 ก่อนจบปี 4 เลยมีคะแนน IELTS ติดตัวไว้สมัครมหาลัยต่างประเทศได้ อีกอย่าง ทุนศรีตรังทองที่ตอนนั้นรับอยู่ก็สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสอบส่วนนึงด้วย
พอเรียนจบตรี ก็มีทุนโครงการพิเศษ โครงการทุนมหิดล-ลิเวอร์พูล เป็นทุนสำหรับให้ นศ หรือบุคลากรของมหิดล ไปเรียนต่อที่ University of Liverpool ปีนั้นคือเป็นปีแรกที่โครงการนี้เริ่มต้นเลย ก่อนสมัครทุนเค้า require คะแนนภาษาอังกฤษ ซึ่งด้วยความที่เป็นโครงการใหม่ เลยไม่มีใครเตรียมพร้อมคะแนนมากเท่าไรนัก ทำให้คนสมัครมีไม่เยอะ แต่ตอนสัมภาษณ์ก็โหดเหมือนกัน เพราะแหนมเป็นคนที่โปรไฟล์เมื่อเทียบกับ candidate คนอื่นๆ แล้วคือด้อยกว่าชาวบ้านหมดเลย แต่สุดท้ายพอสัมภาษณ์จบก็ได้ทราบว่า เราได้ทุนนะ แหนมก็เป็นคนแรกที่รับทุนในโครงการนี้ จนถึงปัจจุบัน มีผู้รับทุนทั้งสิ้นแล้ว 12 คน โดยประมาณ
สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนปริญญาเอกคืออะไร
อุปสรรคใหญ่สุดเลย คือ ภาษา ถึงแม้จะสอบผ่าน IELTS ที่ใช้ในการสมัครเรียน แต่ความรู้ในการสอบไม่ได้ช่วยในชีวิตจริงเท่าไรเลย ยิ่งมาเจอสำเนียงท้องถิ่นของ Liverpool แล้วยิ่งไปกันใหญ่ อีกอย่างแหนมมาเรียนเอกตั้งแต่อายุ 22 ถามว่าเด็กมั้ย คำตอบคือเด็กมาก คือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเท่าไรเลย ตอนนั้นเพื่อนก็ไม่มี ภาษาเราก็ไม่ดี เลยไปกันใหญ่ ก็ได้สมาคมคนไทยช่วยประคับประคองความรู้สึกในช่วงเริ่มแรก
นอกจากอุปสรรคด้านภาษา มีอุปสรรคอื่นไหม
อุปสรรคต่อมาเป็นเรื่องงานวิจัยละ สิ่งที่ตอนนั้นทำ คือ สังเคราะห์และปรับปรุงสารต้นแบบเพื่อนำไปรักษาโรคมาเลเรีย ชอบนะ แต่ประสบการณ์ในด้านเคมีของยาต่ำมาก เรียกได้ว่าเรี่ยดิน คือ เด็ก ปริญญาตรีที่นี่ เค้ามีวิชาเคมีทางยาในหลักสูตรเลย เพราะเป็นอุตสาหกรรมทางเคมีที่มีความสำคัญของประเทศเค้า แต่ที่แหนมเรียนที่ไทย คือ ไม่เคยผ่านวิชานี้มาก่อนเลย ที่เรียนมาก็มีวิชาที่ใกล้เคียงกัน เราก็ใช้วิธีการขอไปนั่งเรียนกับเด็ก ปริญญาตรี โชคดี คือเป็นวิชาที่ supervisor เป็นคนสอนพอดี แล้วก็ต้องอ่านเยอะมาก technical term ล้านแปด อีกส่วนนึงก็เรียนรู้จากประสบการณ์เอา ทาง Supervisor ก็คอยเน้นย้ำว่าอันนี้หมายความว่าอะไร ค่าอย่างนี้คือดีหรือไม่ดี แล้วต้องพัฒนาสารต้นแบบยังไงให้มีคุณสมบัติที่ดีที่สุด
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องเพื่อน มาเรียนเอกต่างประเทศ สิ่งที่ตัวเองคาดหวังคือ อยากเจอคนในสังคมใหม่ๆ อยากจะรู้ อยากจะเข้าใจว่าเค้ามีความคิดเหมือนหรือต่างจากเรายังไง พูดตรงๆ คนอังกฤษไม่ใช่คนที่ friendly ที่สุดในโลก และแหนมก็ไม่ใช่คนดูบอล ทำให้ topic ที่จะคุยก็เหมือนจะหายาก เราก็เลยเริ่มจากดูทีวี กับอ่านหนังสือพิมพ์หรือ BBC ก่อน พอเราเริ่มมีข้อมูลอะไรในหัวบ้าง จะไปพูดคุยกะเค้าก็ไม่เคอะเขินเท่าไร
อีกอย่างที่ทำเป็นประจำและทุกวันนี้ก็ยังทำ ก็คือออกไปดื่ม การดื่มนี่เป็นวัฒนธรรมของคนอังกฤษ ไม่ต้องดื่มจนถึงกับเมากลับบ้านไม่ถูก แต่ดื่มแค่กล้อมแกล้มพองาม อันนี้เป็นวิธีการหาเพื่อนที่ดี เทคนิคคือ ใครชวนไปดื่ม เราไปหมด รู้จักไม่รู้จักเราก็ไป สำหรับคนไม่ดื่ม ก็ไปกับเค้า แต่เราก็ไม่ดื่มก็ได้ อันนี้มันเริ่มมาจากที่แลปก่อน เพราะ supervisor ชอบดื่มและชอบชวนคนในแลปไปเป็นเพื่อน ซึ่งอันนี้ดี เพราะส่วนใหญ่อาจารย์จะเลี้ยง
และที่ Department of Chemistry ที่นี่ ก็มีงานสังสรรค์เยอะมาก นอกจากงาน Ball ประจำปีแล้ว และ Connect/Cheers ทุกสามเดือนแล้ว ปกติก็คือแทบทุกศุกร์ นักศึกษาปริญญาเอกจะชวนออกไปดื่มกันที่ผับของมหาลัย เราก็ไปกะเค้านั่นล่ะ ไปหาเพื่อนใหม่ ซึ่งก็ได้เจอเพื่อนใหม่จริงๆ ซึ่งคนเหล่านี้ ก็ทำงานในวงการเคมี ก็อาจจะช่วยเหลือเรา หรือทำงานวิจัยอะไรร่วมกันได้ในอนาคตอีก
เมื่อเรียนจบมาแล้ว มีข้อคิดหรือมุมมองอะไรที่อยากฝากสำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่บ้างคะ
คติประจำใจตอนเรียนคือ เรามีโอกาสเรียนปริญญาเอกครั้งเดียวในชีวิต ทำอะไรต้องทำให้เต็มที่ เห็นนักศึกษาไทยหลายคนที่มาเรียน ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง บางคนก็เอาเวลาไปเที่ยวเล่นเสียเยอะ แต่ในใจเลย คือคิดว่าเวลาเที่ยวเล่นยังมีอีกพอสมควร
แต่เรียนปริญญาเอกเนี่ยมีครั้งเดียว ถ้าเราทำไม่ดี อาจารย์เค้าก็อาจจะมีภาพลบกับนักศึกษาไทยไปเลย แต่ถ้าเราทำดี ก็เหมือนเป็นการช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของ นักศึกษาไทยไปในตัว แล้วยิ่งถ้าสนิทกับอาจารย์ ก็อาจจะนำไปสู่ความร่วมมือทางงานวิจัยในอนาคต ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องดี ไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่กับประเทศเราด้วย ถ้าวันนึงเรากลับไปทำงานในประเทศไทย
ความแตกต่างระหว่าง ปริญญาเอก กับ post doc
โอ้โห เยอะมาก งานปริญญาเอกมันก็จะเป็นแค่งานเราคนเดียว ได้รับมอบหมายเท่าไรก็คือ scope of study ก็ประมาณเท่านั้น แต่พอทำงานเป็น post doc คือทุกอย่างที่อาจารย์ supervisor มอบหมายมาคืองานเรา ซึ่งก็คือสิ่งที่อาจารย์ที่อาจไม่อยากทำ
ยกตัวอย่างงานทุกวันนี้ เช่น งานวิจัย อันนี้ต้องทำอยู่แล้ว อาจารย์จะมอบหมายมาให้เป็นอะไรที่กว้างถึงกว้างมาก เช่น ให้งานวิจัยมาอ่านเรื่องนึงแล้วต้องไปคิดต่อเองว่าต้องจะทำอะไร และจะทำยังไง ซึ่งก็ต้องทำเป็นแผนมาให้อาจารย์ดูถึงความเป็นไปได้ รวมทั้งเขียนรีพอร์ต เขียนเปเปอร์
นอกจากนี้ ยังมีความรับผิดชอบอื่นๆ อีก เช่น ดูแลรักษาเครื่องมือ ติดต่อกับ external collaborator เข้าประชุมความปลอดภัยของภาควิชา ดูแล นักศึกษาปริญญาตรีและโท อันนี้งานค่อนข้างเยอะ เพราะต้องคิดงานให้นักศึกษา อ่านงาน แก้งาน ให้คำแนะนำ และร่วมแก้ปัญหา ตั้งแต่แรกจนจบ
แต่อย่างนึงที่สังเกตได้ชัดมากคือ อาจารย์ไว้ใจเรามากขึ้น ไม่รู้เพราะเห็นว่าเรามีประสบการณ์มากขึ้น หรือว่ายุ่งมากจนไม่มีเวลามาตามงาน ฮ่าๆๆ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรก
ได้นำเอาสิ่งที่ได้จากปริญญาเอกมาใช้อย่างไรในปัจจุบัน
อันดับแรกเลย คือ เอามาสมัครทำ post doc ซึ่งถ้าไม่จบปริญญาเอก เค้าก็คงไม่รับถูกมะ
อันดับสองคือ ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ อันนี้คือไม่มีใครทันสังเกตหรอกตอนที่ทำ ป เอก แต่พอย้อนกลับไปดู จะเห็นเลยว่า กระบวนการเรียนปริญญาเอกนั้น มันสอนให้เราคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น มีการวางแผนและทำงานอย่างมีขั้นตอน ใช้เหตุผลในการตัดสินใจได้ดีขึ้น ไมใช่แค่ในด้านวิชาการ แต่ในชีวิตจริงด้วย
ฝากอะไรถึงเพื่อนในเพจ
ขอให้ทุกคนในเพจก็แค่ปริญญาเอกเรียนจนจบถึงจุดที่ตั้งเป้าหมายไว้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม ขอบคุณครับ
——————–
เพจก็แค่ปริญญาเอก ขอขอบคุณการแบ่งปันข้อคิดและประสบการณ์จากดร.แหนม ที่เป็นแรงบันดาลใจที่ดียิ่งให้ใครอีกหลายคนที่สนใจหรือกำลังเดินอยู่บนเส้นทางการเรียนปริญญาเอกนี้
เพจก็แค่ปริญญาเอก ยินดีเปิดพื้นที่สำหรับการแบ่งปันประสบการณ์การเรียนปริญญาเอก เชิญชวน inbox มาหาเรา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆคนอื่นกันค่ะ
แขกรับเชิญคนต่อไปจะเป็นใคร ติดตามได้ที่นี่ ที่เดียว!!