ศ.ดร.พีรยุทธ เจริญสุขมงคล #คอลัมน์แขกรับเชิญ #JustaPhD

คอลัมน์ “แขกรับเชิญ” ของ เพจก็แค่ปริญญาเอก เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับการพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์การเรียนในระดับปริญญาเอก ด้วยความเชื่อว่า เรื่องราวของผู้ที่เคยผ่านเส้นทางนี้มาก่อน จะเป็นแรงบันดาลใจและเติมพลังใจให้กับผู้ที่กำลังเดินตามความฝันและเป้าหมายของตนเองอยู่

วันนี้ถือเป็นโอกาสที่พิเศษยิ่งที่ทางเพจได้ต้อนรับ “ศ.ดร.พีรยุทธ เจริญสุขมงคล” ศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาบริหารธุรกิจ จากวิทยาลัยนานาชาติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดย ศ.ดร.พีรยุทธ หรือ “อาจารย์พีท” เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและความโดดเด่นในงานวิจัยระดับนานาชาติ ผลงานของอาจารย์ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำอย่างมากมาย และเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยได้รับการจัดอันดับเป็น หนึ่งใน 2% ของนักวิจัยชั้นนำของโลก (Top 2% Scientists) โดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University)

เส้นทางวิชาการของอาจารย์เริ่มต้นจากการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขา Business Computer Information System จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และสำเร็จปริญญาโทสองใบ ได้แก่ Master of Business Administration (MBA) และ Master of Science (MS) in Electronic Commerce จาก Texas A&M University-Commerce ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะได้รับทุนเต็มจำนวนจาก A.R. Sanchez, Jr. School of Business เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกในสาขา International Business Administration (concentration in Management) ที่ Texas A&M International University

วันนี้ เพจก็แค่ปริญญาเอก ขอชวนทุกท่านมาเปิดบทสนทนาและทำความรู้จักกับอาจารย์พีทให้มากขึ้นอีกสักนิด เบื้องหลังตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” และความสำเร็จระดับโลก ยังมีเส้นทางชีวิตและประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เรื่องราวของอาจารย์พีทจะพาเราย้อนมองถึงจุดเริ่มต้น ความตั้งใจ และบทเรียนสำคัญในแต่ละช่วงของการเดินทางสู่การเป็นนักวิชาการในระดับแนวหน้า

หากย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ อาจารย์เป็นเด็กเรียนเก่งหรือไม่คะ แล้วในช่วงนั้นได้เริ่มค้นพบความฝันของตัวเองหรือยังว่าอยากทำงานด้านไหน

แค่คำถามแรกก็เข้าสู่ปฐมบทของความดราม่าแล้วครับ ถ้าจะพูดย้อนไปถึงตอนเด็กสมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เรียกได้ว่าดูไม่ค่อยมีอนาคตเลยครับ สมัยนั้นมีความฝันอยากจะเข้าเรียนสถาปัตย์ (เพราะเป็นคนชอบวาดรูป) ก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์ ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนฉลาดเลย ทุกวิชาที่ต้องใช้ IQ เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี เชื่อไหมครับว่าผมสอบตกจนต้องสอบซ่อมทุกเทอม ส่วนวิชาอื่นๆพวก ชีวะฯ อังกฤษ สังคมฯ แม้จะไม่สอบตกแต่ก็ผ่านแบบคาบเส้นหมด อาจพูดได้ว่าจบมัธยมมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดได้เลยครับ

ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย สมัยนั้นเมื่อ 30 ปีที่แล้วยังเป็นระบบ “การสอบเอ็นทรานซ์” แบบสอบตรง ไม่มีระบบแอดมิชชั่นกลางเหมือนในปัจจุบันที่กดดันน้อยกว่า เชื่อไหมครับว่าผมพยายามสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยถึง 2 ปี แต่สุดท้ายผมก็สอบไม่ติดซักที่ เมื่อ 30 ปีที่แล้วการสอบเข้ามหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กยุคนั้น คนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐไม่ติดมักรู้สึกผิดหวังเสียใจและล้มเหลวครั้งใหญ่ในชีวิต ซึ่งบอกตามตรงว่าผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะเพื่อนที่เรียนด้วยกันล้วนสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐกันแทบยกห้อง แม้หลายคนอาจจะคิดว่าการสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติดมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำหรับผม นี่คือ “ปม” ของชีวิตที่ผมก็ยังไม่เคยลืมความรู้สึกนั้นแม้กระทั่งในทุกวันนี้

เมื่อไม่สามารถเข้ามหาลัยรัฐที่คาดหวังได้ สุดท้ายผมก็เลือกสอบเข้าเรียนที่มหาลัยอัสสัมชัญ ซึ่งก็ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอินเตอร์ที่มีชื่อเสียง ต้องยอมละทิ้งความตั้งใจที่อยากเรียนสถาปัตย์ฯมาเรียนสายบริหารธุรกิจแทน แต่แม้จะเข้าเรียนที่มหาลัยอัสสัมชัญได้ ก็ไม่ได้เข้าแบบสมศักดิ์ศรี เพราะคะแนนที่สอบเข้านั้นค่อนข้างต่ำจนถูกมหาวิทยาลัยตั้งเงื่อนไขว่าต้องไปเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานสุดๆ (Basic English 1) ผมยังจำได้ดีเลยว่าคนที่สอบสัมภาษณ์ผมยังแอบพูดประชดว่าคะแนนภาษาอังกฤษของผมต่ำขนาดนี้เสียชื่อโรงเรียนที่จบมาจริงๆ ทุกวันนี้ผมยังจำโมเมนต์นั้นได้ดี มันก็แอบน้อยใจอยู่เหมือนกันครับว่าทำไมตอนนั้นเราถึงเป็นเด็กที่เรียนแย่ขนาดนั้น

ชีวิตตอนที่เรียนปริญญาตรีมันก็ค่อนข้างท้าทายน่าดู เนื่องจากผมเป็นคนที่เรียนไม่เก่งมาตั้งแต่สมัยมัธยมอยู่แล้ว วิชาที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขและการคำนวณ เช่น คณิตศาสตร์ สถิติ บัญชี การเงิน รวมถึงวิชาวิจัย ผมคว้าเกรด C มาทุกวิชาเลยครับ สุดท้ายจบปริญญาตรีมาด้วยเกรดเฉลี่ย (GPA) ไม่ถึง 3 (เกรด 2.85) ถือว่าจบปฐมบทแห่งความดราม่าแต่เพียงเท่านี้ครับ

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้อาจารย์ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอก

ตอนไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา (ด้วยการส่งเสียของบุพการี) เอาจริงๆก็ไม่ได้คิดอยากจะเรียนถึงปริญญาเอกตั้งแต่แรกหรอกครับ ผมเรียนปริญญาโทสาย E-commerce กับ MBA เพื่อตั้งใจจะกลับไปช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจครอบครัวที่เมืองไทย แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อได้มีโอกาสไปทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัย (Research Assistant) ให้กับอาจารย์ที่นั่น ทั้งๆที่ผมไม่เข้าใจสถิติ แต่ Professor ที่ผมทำงานด้วยได้สอนผมใช้โปรแกรม SPSS ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ท่านจะเอาไปใช้เขียนเปเปอร์ โดยท่านแค่เอาข้อมูลมาให้ผมแล้วสอนผมว่าต้องใช้โปรแกรมทำยังไงกับข้อมูลบ้าง ผมเลยได้เห็นภาพจริงว่าสถิติที่เราเรียนมาแบบงงๆและไม่เคยเข้าใจอะไรเลยนั้น แท้จริงแล้วมันเอาไปใช้ยังไง ซึ่งพอทำไปทำมาเรื่อยๆผมก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยและสนุกกับมัน ได้ลุ้นตลอดว่าผลที่ออกมามันจะได้ตามที่อาจารย์คาดหวังไว้หรือไม่ และรู้สึกตื่นเต้นแทนเวลาเห็นอาจารย์แสดงอาการดีใจแบบเก็บอารมณ์ไม่อยู่เวลาเราเอาผลที่ออกมาดีไปให้ท่านดู ด้วยความที่ผมเริ่มสนุกกับมัน อาจารย์เลยบอกว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมจะได้ทำตลอดถ้าผมเรียนปริญญาเอก มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมมีความตั้งใจว่าอยากจะเรียนต่อ แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่อาจารย์บอกมันเป็นแค่ส่วนนึงของการเรียนปริญญาเอกเท่านั้น ถ้าได้รู้ว่ามีดราม่าอะไรบ้างที่นักศึกษาปริญญาเอกต้องเผชิญ ตอนนั้นอาจจะไม่ตัดสินใจเรียนก็ได้ 🤣

ระหว่างเรียนเคยเจออุปสรรคหรือความท้าทายอะไรบ้าง ที่รู้สึกว่าเป็นบททดสอบที่ยากที่สุด และอาจารย์ผ่านมันมาได้อย่างไร

ความใฝ่ฝันว่าจะได้เข้าเรียนปริญญาเอกนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในตอนที่จบปริญญาโทและตัดสินใจที่จะเรียนต่อเอก ช่วงนั้นครอบครัวของผมประสบปัญหาทางธุรกิจและผมถูกกดดันให้กลับประเทศไทย ทางเดียวที่ผมจะสามารถเรียนปริญญาเอกที่อเมริกาต่อได้ก็คือการ “ได้ทุน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากมาก เพราะมหาวิทยาลัยที่จะให้ทุนปริญญาเอกนั้นคาดหวังว่าผู้สมัครจะต้องมี Profile ทางวิชาการที่เป็นเลิศ คนที่มหาวิทยาลัยรับเข้าเรียนส่วนมากล้วนเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลที่มีเกรดเฉลี่ยสูง มีทักษะด้านคณิตศาสตร์ ภาษา และ การคิดวิเคราะห์ที่โดดเด่น (วัดจากคะแนนสอบ GMAT หรือ GRE) ซึ่งบอกตามตรงว่าไม่ใช่ผมในตอนนั้น

ในปีแรก ผมได้ยื่นใบสมัครเข้าเรียนปริญญาเอกพร้อมคะแนนสอบ GRE กับ TOEFL ไปที่มหาวิทยาลัย 10 แห่งที่อเมริกา (ซึ่งไม่ใช่มหาวิทยาลัยระดับท็อปเลย) ข้อความในจดหมายตอบรับที่ได้เป็นสิ่งที่อ่านแล้วบีบหัวใจ ผมถูกปฏิเสธในการเข้าเรียนด้วยเหตุผลง่ายๆก็คือ “ผมไม่มีศักยภาพเพียงพอในการเป็นนักศึกษาปริญญาเอก“ ด้วยคะแนนสอบและ profile ที่ไม่มีความโดดเด่นเทียบกับผู้สมัครคนอื่น

ผมยังจำโมเมนต์หนึ่งได้ดี ตอนที่เปิดอ่านจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยแห่งสุดท้ายที่ยื่นใบสมัครไปและได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลเหมือนเช่นเคย จดหมายร่วงหลุดจากมือโดยไม่รู้ตัว ผมทิ้งตัวลงนอนมองท้องฟ้า น้ำตาไหลออกมาแบบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ในหัวตั้งเริ่มคำถามว่า “นี่เราไม่มีศักยภาพในการเรียนปริญญาเอกจริงๆหรือ” “ความฝันที่เราวาดไว้มันเป็นแค่ความเพ้อฝันของเราแค่นั้นหรือ” นับว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่รู้สึกแตกสลายพอสมควร

อย่างไรก็ดี ผมใช้เวลาปรับความรู้สึกและคิดทบทวนอยู่หลายวันว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป ทางบ้านก็กดดันอยากให้รีบกลับเมืองไทย แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่ผมมีต่อความฝันของตัวเอง ในที่สุดผมตัดสินใจลุกขึ้นสู้อีกครั้ง บอกกับตัวเองว่าจะให้โอกาสตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายและจะพยายามดิ้นรนจนถึงที่สุด เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่มาเสียใจในภายหลัง

ในปีที่สอง ผมส่งใบสมัครพร้อมคะแนนสอบไปที่มหาวิทยาลัยที่ผมยังไม่ได้สมัครเพิ่มอีก 4 แห่ง ผมคิดว่าในครั้งนี้ถ้าไม่ได้อีกผมคงจะยอมแพ้และกลับประเทศไทย เพราะไม่เหลือมหาวิทยาลัยให้สมัครเพิ่มแล้ว แต่ในครั้งนี้เหมือนกับโชคจะเข้าข้าง ผมได้รับจดหมายตอบรับให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Texas A&M International University ที่เมือง Laredo ซึ่งเป็นเมืองชายขอบทางตอนใต้ของอเมริกาที่อยู่ติดกับประเทศเม็กซิโก โดยได้รับทุนเรียนฟรี (Full scholarship) ในความรู้สึกแรกผมรู้สึกลังเลในการไปเรียนที่นั่นเนื่องจากเป็นเมืองห่างไกลที่ติดกับชายแดน และประชากร 95% เป็นคนสัญชาติเม็กซิกัน (สงสัยผมคงดูหนังมาเฟียเม็กซิกันมากเกินไป) และอีกความคิดหนึ่งคือการที่มหาวิทยาลัยนี้รับผมเข้าเรียนโดยที่ Profit ผมก็ไม่ได้โดดเด่น อาจจะเป็นเพราะไม่มีใครอยากจะไปเรียนเมืองติดชายแดนแบบที่นั่นหรือเปล่า (คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย จริงๆเป็นมหาวิทยาลัยที่เงียบสงบครับ เหมาะกับการไปเก็บตัวทำวิจัย) แต่ด้วยความฝันที่ผมมีและโอกาสเพียงแห่งเดียวที่ได้เปิดให้ผม ผมจึงตัดสินใจตอบรับข้อเสนอและเดินทางไปเรียนที่นั่น และนี่คือจุดเริ่มต้นของความท้าทายอันแสนหฤโหดที่ผมต้องเผชิญในการเรียนปริญญาเอก

แน่นอนว่าเส้นทางการเรียนปริญญาเอกนั้นเต็มไปด้วยขวากหนามและความท้าทายมากมาย แม้ผมได้รับโอกาสเข้าเรียน แต่มาตรฐานของนักศึกษาปริญญาเอกก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ผมได้เคยกล่าวไว้ เพราะเพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนล้วนแต่เป็นคนเก่งคะแนนสอบระดับท็อปที่มาจากหลากหลายประเทศ สำหรับตัวผมที่ไม่ได้เป็นคนมีต้นทุนสูงด้านภาษาและอัจฉริยภาพทางวิชาการ การที่จะอยู่รอดในการเรียนปริญญาเอกนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจอความหฤโหดจากการเรียนยังไง สิ่งที่ผมเน้นย้ำกับตัวเองก็คือ “นี่คือความฝันของผมและผมได้รับโอกาสให้ทำตามความฝันนี้แล้ว“ ไม่ว่าจะยังไง ”ผมจะต้องจบปริญญาเอกและต้องมีผลงานที่โดดเด่นหลังจากจบไปให้ได้“ ผมจะต้องทำให้มหาวิทยาลัยนี้ที่ให้โอกาสผมไม่ผิดหวังที่รับผมเข้าเรียน อีกทั้งต้องการพิสูจน์ให้มหาวิทยาลัยที่เคยปฏิเสธผมได้รู้ว่าพวกเขาคิดที่ไม่รับผม

การเรียนปริญญาเอกที่อเมริกาไม่ได้มีการสอนเรื่องการทำวิจัยหรือเขียนเปเปอร์แต่ประการใด นักศึกษาปริญญาเอกทุกคนจะต้องหาทางเรียนรู้ด้วยตัวเอง เนื่องจากผมเป็นคนที่อ่อนทั้งในเรื่องภาษาและการเขียน สิ่งที่ผมทำเพื่อพัฒนาศักยภาพของผมก็คือ การใช้เวลา “6 ชั่วโมงต่อวัน” ในการอ่านเปเปอร์และฝึกเขียนงานวิจัย โดยเริ่มตั้งแต่เวลา “3 ทุ่ม” ถึง “ตี 3” ของทุกวัน ผมตั้งปณิธานไว้ว่าผมจะต้องอ่านเปเปอร์ให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ฉบับต่อวัน ไม่ว่าผมจะรู้สึกเหนื่อยหรือขี้เกียจมากเพียงใดก็ตาม

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มอ่านเปเปอร์ภาษาอังกฤษจะรู้ได้ดีว่าเปเปอร์หนึ่งฉบับบางครั้งใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือเป็นวันในการอ่านจนจบ (ซึ่งบางเปเปอร์อ่านทั้งวันก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี) ซึ่งผมในช่วงแรกก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่สิ่งที่ผมทำคือการ “สร้างวินัย” ในการฝึกอ่านและฝึกเขียนทุกๆวันเป็นเวลาหลายปี ผมมีวินัยแบบเดิมทุกวันตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้ามาเรียนจนกระทั่งวันที่เขียน Thesis จนเสร็จ จากที่เคยใช้เวลาทั้งวันในการอ่านหนึ่งเปเปอร์ พัฒนาจนสามารถอ่านหลายเปเปอร์ในหนึ่งวัน การสร้างวินัยในการอ่านแบบนี้อย่างสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วเปเปอร์มันมีรูปแบบ (Pattern) ในการเขียนที่คล้ายๆกัน ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่เรายิ่งจับรูปแบบการเขียนได้ชัดขึ้น จากที่ไม่เข้าใจในเนื้อหาในตอนแรก พออ่านเปเปอร์เรื่องนั้นๆไปหลายฉบับ ความคิดมันก็เริ่มตกผลึกและเข้าใจเนื้อหาได้อย่างถ่องแท้ในท้ายที่สุด

การเขียนเปเปอร์ก็เช่นกัน ผมไม่ได้เขียนเปเปอร์มาได้ดีตั้งแต่แรก จำได้ได้ว่าเปเปอร์แรกที่เขียนส่งไปวารสาร โดนคอมเม้นต์เรื่องการเขียนที่เลวร้ายมาก แบบว่า Reviewer ท่านหนึ่งเขียนคอมเม้นต์มาว่าให้ผมลองอ่านที่เขียนให้ตัวเองฟังช้าๆที่หน้ากระจกดูแล้วจะรู้ว่าที่เขียนมามันเป็นยังไง โดนคอมเม้นต์มาแบบนี้มันก็ท้อนะ (จริงๆมีอีกหลายคอมเม้นต์เจ็บๆอีกเยอะ) แต่ด้วยวินัยที่เราฝึกอ่านฝึกเขียนมาตลอด เรียนรู้จากคอมเม้นต์ที่ได้จาก Reviewers และพัฒนารูปแบบการเขียนของเราไปเรื่อยๆ เป็นเวลาเกือบ 5 ปีกว่าที่ผมมีวินัยแบบนี้อย่าง เคร่งครัด ส่งเปเปอร์ที่เขียนเสร็จไปยังวารสารอย่างต่อเนื่องและไม่ยอมแพ้แม้จะถูกปฏิเสธเป็นสิบๆครั้ง ในที่สุดผมก็สามารถตีพิมพ์งานวิจัย 2 ฉบับแรกในวารสารฐาน Scopus ได้ด้วยตัวของผมเอง ซึ่งทั้ง 2 เปเปอร์นี้เป็นงานวิจัยที่มาจากงานวิจัยที่ผมทำในคลาสตอนเรียนก่อนที่จะเริ่มทำ Thesis เสียด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ดี ชีวิตการเป็นนักศึกษาปริญญาเอกสำหรับผมก็ถือว่าหนักเลยทีเดียว ทั้งเรื่องแรงกดดันจากการเรียนซึ่งต้องอ่านเปเปอร์เป็นจำนวนมากเพื่อนำมาถกกับอาจารย์และเพื่อนในชั้นทุกสัปดาห์ การที่ต้องเขียน Paper งานวิจัยในทุกวิชาที่เรียน การที่ต้องฝึกอ่านฝึกเขียนบทความวิจัยจนถึงตีสามทุกคืน สิ่งที่ผมได้หักโหมไปนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งสิ่งนั้นมาในรูปของปัญหาสุขภาพในระยะยาวที่ผมเป็นจนถึงทุกวันนี้

อาจารย์ใช้เวลาเรียนปริญญาเอกทั้งหมดกี่ปีคะ และวิทยานิพนธ์ของอาจารย์ทำเกี่ยวกับเรื่องอะไร อะไรเป็นแรงจูงใจให้สนใจหัวข้อนั้น

การเรียนปริญญาเอกที่อเมริกาปกตินักศึกษาที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมส่วนมากใช้เวลาจบประมาณ 4 ปี (เรียน Course work 2 ปี สอบ QE กับทำ Thesis 2 ปี) แต่ผมใช้เวลา 5 ปีในการจบ คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรีบจบเหมือนคนอื่น เพราะอยากใช้เวลาอันมีค่าของการเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในการสร้างฐานความรู้ให้กับตัวเองให้ได้มากที่สุด สำหรับผมแล้วผมคิดว่าช่วงเวลาของการเป็นนักศึกษาปริญญาเอกเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุด เพราะเป็นโอกาสให้เราได้ลองผิดลองถูกได้โดยที่ไม่มีคนมาตัดสิน เป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเองเต็มที่

สำหรับเรื่องหัวข้อ Thesis ผมขออนุญาตไม่พูดในรายละเอียดนะครับเพราะหัวข้อค่อนข้างเฉพาะเจาะจงซึ่งคนที่ไม่ได้อยู่ในสาขาอาจจะไม่เข้าใจ แต่อยากบอกครับว่ากระบวนการหาหัวข้อถือว่ามีความท้าทายและใช้เวลายาวนานมาก ผมใช้เวลาถึงหนึ่งเทอม (4 เดือน) เต็มๆในการอ่านเปเปอร์เป็นร้อยๆฉบับเพื่อหาหัวข้อที่พอมีช่องว่างวิจัย (Gap) ที่พอจะนำมาศึกษาต่อได้ ถือว่าเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาเป็นอย่างมากกว่าจะได้หัวข้อที่เหมาะสมในการทำ Thesis

ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะบอกอะไรกับตัวเองในวันที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่

การตัดสินใจเรียนปริญญาเอกที่อเมริกาซึ่งใช้เวลาเรียนมากกว่าสี่ปีเป็นสิ่งที่ต้องวัดใจเพราะมันหมายถึงค่าเสียโอกาสในการออกไปทำงานหาเงินและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในภาคธุรกิจ การเอาเวลา 4-5 ปีไปทิ้งกับการเรียนปริญญาเอกจะต้องคิดให้ดีว่าเส้นทางอาชีพที่เลือกหลังจากจบไปแล้วจะคุ้มค่ากับค่าเสียโอกาสที่ลงทุนไปไหม

ถ้าถามว่าหากผมมีโอกาสย้อนเวลากลับไปคุยกับตัวผมในอดีต ผมเลือกที่จะย้อนกลับไปพูดกับตัวเองในตอนที่ผมเพิ่งจบและต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทำงานอะไรหลังจากนั้น

ตามที่ผมได้เล่ามาว่าผมได้ทุนเรียนปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแบบไม่ต้องใช้ทุนคืน (Full scholarship) โดยปกติคนที่ไม่ติดทุนนั้นแทบไม่มีใครคิดที่จะกลับไปเป็นอาจารย์ที่ประเทศของตนเอง แต่จะเลือกสมัครเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่อเมริกาที่ได้เงินเดือนเริ่มต้นเกือบ 3 แสนบาทต่อเดือน แถมได้ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ทันทีโดยไม่ต้องมาเสียเวลาทำผลงานใหม่เพื่อขอตำแหน่งเหมือนในประเทศไทย

ตอนนั้นผมก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าไม่รู้ว่าผมโง่หรือเปล่าที่เลือกกลับมาเป็นอาจารย์ที่ประเทศไทย รับเงินเดือนเริ่มต้นแค่ 3 หมื่นบาท และเป็นแค่อาจารย์ด็อกเตอร์ (อ.ดร.) ธรรมดา 😅 เอาจริงๆตอนนั้นผมถูกเพื่อนประณามว่าโง่นะ ที่ทิ้งโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองที่อเมริกา ทั้งๆที่ Profile ผมตอนจบของผมถือว่าดีมาก สามารถหางานทำที่นั่นได้สบาย

อย่างไรก็ดี ความคิดหนึ่งที่มีอิทธิพลกับผมในตอนนั้นก็คือ.. ผมคิดว่าที่อเมริกาก็น่าจะมีนักวิจัยเก่งๆเยอะแล้ว ถึงผมจะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้จากการเป็นอาจารย์ที่นั่น แต่ก็คงไม่ได้สร้าง Impact ให้กับประเทศเขาเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แต่สำหรับประเทศไทยในตอนนั้น งานวิจัยตีพิมพ์ในสายสังคมศาสตร์ในระดับนานาชาติถือว่ายังขาดอาจารย์และนักวิจัยที่มีศักยภาพด้านนี้อยู่ และด้วยเหตุนี้ ผมจึงมีความคิดว่าอยากจะนำองค์ความรู้ที่ผมสั่งสมมาทั้งหมดกลับไปช่วยพัฒนาศักยภาพของอาจารย์ในประเทศไทย ให้สามารถมีงานวิจัยตีพิมพ์สายสังคมศาสตร์ในวารสารที่มีชื่อระดับโลก และสร้างชื่อเสียงด้านการวิจัยในสาขานี้ให้กับประเทศไทย อยากจะทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วรู้ว่า “ประเทศไทยก็มีนักวิจัยชาวไทยที่สามารถสร้างผลงานวิจัยที่โดดเด่นในระดับนานาชาติได้เช่นกัน”

การตัดสินใจในตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างยากในการที่จะต้องละทิ้งโอกาสในการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับตัวเองที่ประเทศอเมริกา และที่สำคัญตัวผมเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าหลังจากกลับไปเป็นอาจารย์ที่ประเทศไทยแล้ว ผมจะสามารถทำตามเจตจำนงของผมได้จริงหรือไม่ ผมจะมีอิทธิพลในการสร้าง Impact แบบนั้นได้จริงหรือ

แต่สำหรับตอนนี้ ถ้าผมสามารถย้อนกลับไปบอกตัวเองในตอนนั้นได้ ผมคงจะพูดกับตัวเองว่า “อย่าได้ลังเลกับการตัดสินใจของนายที่จะกลับไปเป็นอาจารย์ที่เมืองไทย ทุกอย่างที่นายเสียสละและทุ่มเทตลอด 5 ปีจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน อยากให้นายเชื่อมั่นในการตัดสินใจครั้งนี้…เพราะวันหนึ่งข้างหน้า นายจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยหลายๆคนกล้าที่จะเดินตามความฝันและก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเหมือนที่นายเคยทำ”

ซึ่งในปัจจุบันผมดีใจที่ได้รู้ว่าการตัดสินใจที่ผมเลือกมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง การทุ่มเทของผมตลอดระยะเวลาหลายปีที่แลกมาด้วยปัญหาสุขภาพเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ผมได้สร้างในทุกวันนี้ ภูมิใจที่ผมสามารถสร้างงานวิจัยเกือบร้อยชิ้นในสายบริหารธุรกิจที่ตีพิมพ์ภายใต้ชื่อมหาวิทยาลัยของประเทศไทย ได้เป็นตัวแทนของคนไทยที่ถูกจัดอันดับอยู่ใน Top 2% Scientists ของโลกสาขา Business and Management ได้ผลักดันให้ Advisees ของผมมากกว่า 20 คนได้ตีพิมพ์ thesis ในวารสารระดับนานาชาติ และที่สำคัญ ผมดีใจที่ได้รู้ว่าสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆคนได้มีกำลังใจและมุ่งมั่นในการเดินบนเส้นทางวิจัยได้เหมือนที่ผมเคยทำ ได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์มาถ่ายทอดให้อาจารย์และนักศึกษาชาวไทยเกี่ยวกับการทำวิจัยตีพิมพ์จนหลายคนสามารถสร้างงานวิจัยตีพิมพ์ในระดับนานาชาติให้กับประเทศไทยได้มากมาย

คิดว่าปัจจัยสำคัญอะไรบ้างที่ทำให้เรียนจบปริญญาเอกได้สำเร็จ

จากประสบการณ์ตรงของผมและจากที่ผมสังเกตจากเพื่อนและคนรู้จักหลายคนที่เรียนปริญญาเอกเหมือนกัน เชื่อมั้ยครับว่าการจบปริญญาเอกนั้นจริงๆแล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างมีนัยยะสำคัญกับเรื่องความฉลาดหรืออัจฉริยภาพแต่กำเนิดเลย สุดท้ายคนที่จบปริญญาเอกได้คือคนที่มีความมุมานะพยายามและอดทนในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ในชีวิตจริงผมเคยเห็นมาแล้วนะครับ คนที่ฉลาดมากๆแต่กลับเรียนไม่จบ บางคนหาหัวข้อทำ Thesis ไม่ได้หรือไม่ก็มีปัญหากับอาจารย์ที่ปรึกษาจนต้องเลิกเรียนกลางคัน (อาจจะเป็นเพราะคนพวกนั้นอีโก้สูง เลยทำให้ขัดแย้งกับอาจารย์ที่ปรึกษา หรือยึดติดกับกรอบความคิดของตัวเองมากจนเกินไป)

เอาจริงๆสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมจบได้อาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกว่า “ตัวเองโง่” มาโดยตลอด 😅 ด้วยความที่ตระหนักดีว่าเราไม่ได้มีพรสวรรค์หรือมีความฉลาดเป็นทุนเดิม เลยทำให้ต้องผลักดันและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เคยคิดเลยนะว่าผมเป็นคนเก่ง เวลาไปพูดเวทีไหนผมก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนเก่งมีพรสวรรค์ เป็นคนที่อาศัยพรแสวงล้วนๆ ที่ต้องออกตัวก่อนเพราะกลัวคนฟังผิดหวังที่ต้องมาเรียนรู้จากคนที่ไม่เก่งอย่างผม 😅 ผมไม่เคยลืมจุดเริ่มต้นของตัวเอง ไม่อายที่จะบอกคนอื่นว่าตัวเองโง่ ไม่อายที่จะโชว์อดีตอย่างภาคภูมิใจว่ากว่าจะสำเร็จแต่ละอย่างมันต้องผ่านการล้มเหลวและล้มลุกคลุกคลานแบบไม่เป็นท่ามาแทบทุกครั้ง การคิดอย่างนี้มันก็อาจจะดีตรงที่ทำให้เราไม่ประมาท ไม่ลืมตัว และไม่คิดว่าตัวเองเป็นน้ำเต็มแก้ว ทำให้เราต้องคอยแสวงหาความรู้ใหม่ๆและคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

อีกอย่าง “การยอมรับว่าตัวเองไม่รู้” มันก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ผมสามารถเดินอยู่บนเส้นทางสายวิจัยได้ตั้งแต่สมัยเรียนจนถึงกระทั่งทุกวันนี้ เพราะสุดท้ายแล้วการทำวิจัยมันก็คือการเดินทางเข้าไปสำรวจดินแดนแห่งองค์ความรู้ที่ไม่เคยมีใครสำรวจมาก่อน การยอมรับว่าเราไม่รู้ทำให้เราขวนขวายและกระตือรือร้นในการตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆอยู่เสมอเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้ ซึ่งก็คงไม่ต่างกับการค้นหา Research gap ในการทำวิจัยมั๊งครับ ถ้าเราคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง มันจะเอาแรงผลักดันอะไรมาใช้ในการหาหัวข้อการทำวิจัยหล่ะครับ 😄

ความหมายของคำว่า “ปริญญาเอก” แท้จริงแล้วคืออะไร ในความคิดเห็นของอาจารย์พีท

สำหรับผมแล้วปริญญาเอกมันมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าการได้รับคำนำหน้าชื่อว่า “ด็อกเตอร์” หลังจบการศึกษา คนที่เลือกเส้นทางนี้ไม่ควรมีเป้าหมายเพียงแค่นั้น แต่ควรมีแรงผลักดันที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า นั่นคือ “ความรักและความหลงใหลในการเรียนรู้อย่างแท้จริง”

การเรียนปริญญาเอกเหมือนการผจญภัยทางความรู้ที่จะทำให้คุณได้ค้นคว้าในเรื่องที่คุณสนใจอย่างลึกซึ้ง ได้ตั้งคำถามกับสิ่งที่คนอื่นเชื่อกันมานาน และได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน การเรียนปริญญาเอกสอนให้เรารู้จักตั้งคำถามและขวนขวายเพื่อหาคำตอบอย่างมีหลักการและเหตุผล ทำให้เราตระหนักว่ามหาสมุทรแห่งความรู้มันกว้างใหญ่เกินจินตนาการ การเรียนปริญญาเอกอาจยากและใช้เวลานาน แต่ถ้าคุณชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ คุณจะสนุกกับมัน

สำหรับผมแล้ว การเรียนปริญญาเอกมันเป็นมากกว่าแค่เรื่ององค์ความรู้ แต่มันคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต การเรียนปริญญาเอกไม่ใช่เพียงแค่การอุทิศตนให้กับการศึกษาวิจัยเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ แต่ยังเป็นบททดสอบที่ท้าทายว่าเราจะสามารถสร้างวินัยและมีความเพียรพยายามมากพอในการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้หรือไม่

สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเรียนปริญญาเอกดีหรือไม่ ผมอยากให้ลองถามตัวเองก่อนว่า:

“คุณมีความหลงใหลในการเรียนรู้และการค้นคว้าวิจัยมากพอที่จะทุ่มเทเวลาหลายปีให้กับมันหรือไม่?”

“คุณพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆอย่างต่อเนื่องหรือไม่?”

“คุณมีความอดทนและพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคที่ถาถมเข้ามาโดยไม่ยอมแพ้หรือไม่?”

ถ้าคำตอบคือ “ใช่” การเรียนปริญญาเอกอาจเป็นเส้นทางที่คุณสามารถก้าวเดินไปได้อย่างมีความสุข

จาก “ปริญญาเอก” ในวันนั้นจนถึง “ตำแหน่งศาสตราจารย์” – อาจารย์มีแนวทางอย่างไรในการพัฒนาตัวเอง และมีคำแนะนำอะไรสำหรับผู้ที่อยากเดินตามเส้นทางเดียวกัน

เส้นทางของการได้มาซึ่งตำแหน่งวิชาการโดยเฉพาะรองศาสตราจารย์ (รศ.) และศาสตราจารย์ (ศ.) ของผมจริงๆแล้วก็ไม่ได้ราบรื่นและได้มาโดยง่ายเหมือนที่หลายคนคิด ล้วนต้องอาศัยการฝ่าฟันอย่างหนักกว่าจะขึ้นมาสู่จุดนี้ได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่จำเป็นในการพิสูจน์ว่าตนเองคู่ควรกับตำแหน่งวิชาการในระดับสูงนั่นก็คือการสร้าง “ผลงาน” อันที่เป็นที่ประจักษ์

ย้อนกลับไปสมัยตอนที่ผมเป็นอาจารย์ (อ.ดร.) ใหม่ๆ แม้ผมจะมีงานวิจัยตีพิมพ์ 5 ฉบับในวารสารที่มีชื่อ แต่ผมก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าผมเก่งเรื่องวิจัย ยังคิดเสมอว่าผมมีจุดอ่อนอีกมากและยังมีทักษะหลายเรื่องที่ยังไม่รู้และต้องพัฒนาอีก ผมยังคงใช้เวลา 6 ชั่วโมงต่อวันอย่างต่อเนื่องในการฝึกอ่านฝึกเขียนและพัฒนาการทำวิจัยของผมอยู่เสมอเหมือนตอนสมัยเรียนปริญญาเอก (แต่ก็ลดลงมาเป็น 5 วันต่อสัปดาห์) นั่งทำงานวิจัยอยู่ที่มหาลัยถึง 2-3 ทุ่มแทบทุกวัน

ตั้งแต่เข้ามาเป็นอาจารย์ที่นิด้า ผมทุ่มเทอย่างมากในการทำวิจัยส่งวารสารอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่างานวิจัยที่ผมส่งไปจะถูกปฏิเสธหลายรอบจากวารสาร แต่ผมก็ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ ทุกๆคำวิพากษ์วิจารณ์จาก Reviewers ที่ปฏิเสธงานของผมแม้จะอ่านแล้วปวดใจ แต่ผมก็ต้องพยายามเรียนรู้และนำสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนาปรับปรุง การทำงานวิจัยของผมอย่างสม่ำเสมอ การเรียนรู้จากประสบการณ์คือครูที่ดีในการสอนผมเกี่ยวกับการตีพิมพ์งานวิจัย ไม่ได้มีตำราหรือสูตรสำเร็จที่บอกผมว่าการจะตีพิมพ์งานวิจัยได้นั้นต้องทำอย่างไร ทุกอย่างสำหรับผมล้วนต้องเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกและก้าวข้ามความผิดหวังมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ความสำเร็จที่เห็นในวันนี้ โดยเฉพาะการตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารนานาชาติเกือบร้อยฉบับ มันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายและรวดเร็ว ต้องอาศัยความอดทนในการเรียนรู้และขัดเกลาทักษะในการทำวิจัยมากว่า 10 ปี

จากคนที่หลายมหาวิทยาลัยเคยปฏิเสธในการรับเข้าเรียนด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นนักศึกษาเอก ทุกวันนี้ คนที่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องคนนั้นได้สร้างผลงานวิจัยจนสามารถขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่ง Top 2% Scientists ของโลกได้

ผมอยากให้เรื่องราวของผมเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนที่อาจจะยังลังเลสงสัยหรือไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ตัวผมได้พิสูจน์แล้วว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นอัจฉริยะหรือมีต้นทุนทางความรู้ที่สูงตั้งแต่เริ่มต้น ก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ขึ้นมายืนอยู่บนจุดสูงสุดในสายวิชาการได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอาศัยความอดทนและเพียรพยายามในขัดเกลาและพัฒนาทักษะของตนเอง

สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ ทุกๆความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สามารถเป็นไปได้แม้ว่าตัวคุณจะไม่ได้มีต้นทุนที่สูง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวคุณมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการทุ่มเทพัฒนาตนเองให้ก้าวสู่ความสำเร็จนั้นหรือไม่ ความมุ่งมั่นและเพียรพยายามคือกุญแจที่สำคัญในการปลดล็อคศักยภาพที่แท้จริงของตัวคุณ

หากคุณมีความฝัน คุณต้องทุ่มเทในการเดินตามความฝันของคุณไม่ว่ามันจะเหนื่อยและยากเย็นเพียงใด จงอย่าให้คนอื่นมาตัดสินคุณว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอ ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ขอให้คุณยังคงมีศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง หากคุณถูกคนด้อยค่า จงใช้ความเจ็บปวดนั้นมาเป็นแรงผลักดันเพื่อพิสูจน์ว่าคุณสามารถเป็นได้มากกว่าสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นเห็น

บางครั้งชีวิตอาจจะโหดร้ายกับคุณ แต่ถ้าคุณอดทนและฟันฝ่ามันไปได้ ผมเชื่อว่าสักวันคุณจะพบกับความสำเร็จที่คุณใฝ่ฝันได้แน่นอน

สุดท้ายนี้ อาจารย์มีข้อคิดหรือกำลังใจอะไร ที่อยากฝากถึงผู้ที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ หรือกำลังคิดจะเริ่มต้นเส้นทางนี้บ้างคะ

สิ่งที่ผมอยากฝากทิ้งไว้สำหรับคนที่วางแผนจะเรียนปริญญาเอกหรือคนที่กำลังกระเสือกกระสนในการเรียนอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญประการแรกที่คุณต้องมีหากคุณต้องการประสบความสำเร็จในสายงานนี้คือ “การตั้งเป้าหมาย” คุณต้องจินตนาการถึงสิ่งที่คุณใฝ่ฝันในอนาคตและสร้างแรงผลักดันในการเดินตามความฝันนั้น

อย่างไรก็ดี การตั้งเป้าหมายอย่างเดียวมันไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนคุณไปข้างหน้าได้ คุณจะต้อง “สร้างวินัย” ให้กับตัวเองและ “ลงมือทำอย่างไม่ลังเล” สิ่งนี้มีความสำคัญมากเพราะเป้าหมายที่ไร้การกระทำมันก็ไม่ต่างอะไรกับฝันกลางวันเพียงชั่วคราว หากคุณมีฝัน คุณต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ฝันนั้นเป็นจริง การเรียนปริญญาเอกต้องอาศัยเวลาและความอดทนในการเก็บเกี่ยวองค์ความรู้และสร้างประสบการณ์ในการทำวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความแตกฉานในหัวข้อที่คุณศึกษา ต้นไม้ที่เติบใหญ่จนหยั่งรากลึกอย่างมั่นคงได้ต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานฉันใด การพัฒนาศักยภาพการทำวิจัยให้มีความ “ยั่งยืน” ก็ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเทอย่างมากไม่ต่างกัน

ประการที่สามคือ “การจัดสรรเวลา” ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของคนที่ประสบความสำเร็จ บางคนชอบบอกว่าไม่มีเวลา ซึ่งผมก็เชื่อว่ามันจริงส่วนนึง เพราะสภาวะเร่งรีบและกดดันในปัจจุบันอาจจะทำให้เวลามีค่ามากกว่าเงินเสียด้วยซ้ำ แต่ต่อให้ไม่มีเวลายังไง คุณต้องพยายามจัดสรรเวลาให้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผมเชื่อว่าถ้าคนเราให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจริงๆ เราจะต้องขวนขวายหาเวลาให้กับมันแม้ว่าจะยุ่งเพียงใดก็ตาม ถ้าความฝันของคุณมันมีค่ากับคุณจริงๆ คุณจะต้องพยายามทุกๆทางเพื่อหาเวลาให้กับมัน

ประการที่สี่ คุณจะต้องมีความอดทนและไม่ถอดใจยอมแพ้ง่ายๆ เพราะการเรียนปริญญาเอกมักมีปัญหาหรืออุปสรรคหลายอย่าง ซึ่งบางครั้งก็อาจอยู่นอกเหนือความควบคุมของเรา การยืนหยัดและไม่ยอมแพ้ง่ายๆจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะเดินบนเส้นทางนี้ได้จนสุดปลายทาง สุดท้ายคนที่จบปริญญาเอกอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่เป็นคนที่สามารถยืนหยัดและอดทนเพียรพยายามได้มากกว่าคนเก่งบางคนที่ถอดใจยอมแพ้ไปกลางทาง

สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ ถึงแม้ว่าคุณจะทุ่มเทอย่างหนักในการทำตามความฝัน แต่ก็อย่าได้ฝืนตัวเองมากเกินไปจนทำลายสุขภาพหรือกระทบความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคนในครอบครัว ถ้าการโหมทำงานหนักจนเกินตัวทำให้สุขภาพคุณย่ำแย่ หรือทำให้ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวต้องแตกสลาย ปริญญาเอกหรือความสำเร็จที่คุณได้มานั้นจะไม่มีความหมายอะไรกับคุณเลยในท้ายที่สุด แม้จะทุ่มเทอย่างหนักเพียงไร แต่ก็ต้อง balance ชีวิตตัวเองบ้าง ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักเป็นระยะ เดินทางสายกลางและอย่ากดดันตัวเองมากเกินไป เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกหมดไฟและถอดใจได้ง่ายในท้ายที่สุด

สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสามารถฟันฝ่าอุปสรรคและสามารถจบการศึกษาปริญญาเอกได้อย่างราบรื่นเพื่อช่วยเป็นกำลังในการสร้างชื่อเสียงด้านงานวิจัยให้กับประเทศไทยต่อไปในภายภาคหน้า

ฝากเพลงทิ้งท้าย (จากอาจารย์พีท)

งานอดิเรกของผมอย่างหนึ่งคือการแต่งเพลง มีเพลงส่วนหนึ่งที่ผมแต่งเกี่ยวกับการเรียนปริญญาเอกและการทำวิจัยตีพิมพ์ ทั้งแนวให้กำลังใจ แนวตลกเสียดสี แนวดราม่า ซึ่งผมให้ AI เอาเนื้อเพลงที่ผมเขียนไปทำเป็นเพลงและผมได้แชร์ clips ไว้ใน TikTok อันนี้ฝากไว้ฟังเล่นๆนะครับ ใครจะเอาไปร้อง cover ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ

ความเจ็บปวดของนักศึกษาปริญญาเอก
https://vt.tiktok.com/ZSBLAPwUH/

ต้องตีพิมพ์ให้ได้
https://vt.tiktok.com/ZSBLAGjcV/

ยังไม่หมดหวังกับการตีพิมพ์
https://vt.tiktok.com/ZSBLAp99q/

ตามหาหัวข้อวิจัย
https://vt.tiktok.com/ZSBLAPNwp/

รีวิว(นาน)เวอร์
https://vt.tiktok.com/ZSBLA9gJf/

คอมเม้นต์อะไรวะเนี่ย
https://vt.tiktok.com/ZSBLADGad/

นักวิจัยสายมูฯ
https://vt.tiktok.com/ZSBLAqXXD/

ความกดดันของอาจารย์มหาวิทยาลัย
https://vt.tiktok.com/ZSBLApVyw/

Reviewer- Review หลอน
https://vt.tiktok.com/ZSBLD6cY7/
…………..
การได้พูดคุยกับ ศ.ดร.พีรยุทธ เจริญสุขมงคล ไม่เพียงทำให้เราเห็นเส้นทางความสำเร็จของนักวิชาการระดับโลก แต่ยังทำให้เราเข้าใจว่า ความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากโชคหรือพรสวรรค์ หากแต่เกิดจากความสม่ำเสมอในความเพียรพยายาม หัวใจที่ไม่เคยหยุดใฝ่รู้ และความรักในงานวิจัยอย่างแท้จริง สิ่งที่น่าชื่นชมไม่น้อยไปกว่าความสำเร็จของอาจารย์พีท คือแนวคิดที่เรียบง่าย จริงใจ และเต็มไปด้วยพลังบวกที่อาจารย์ส่งต่อมาในทุกถ้อยคำในบทสนทนา

บทสัมภาษณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ปริญญาเอก” ไม่ใช่เพียงปลายทางของการศึกษาเท่านั้น แต่เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยบททดสอบ และการได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองในทุกย่างก้าว อาจารย์พีทคืออีกหนึ่งตัวอย่างที่บอกกับเราว่า นักวิชาการระดับโลก…ก็เริ่มต้นจากการเป็นคนธรรมดา ที่เลือกที่จะไม่หยุดพัฒนาตนเอง

ขอขอบคุณอาจารย์พีท ที่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์อันล้ำค่าของท่าน และขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เดินทางมากับเรา…จนถึงบรรทัดนี้ เราหวังว่าบทสนทนาที่ลึกซึ้งมากที่สุดบทหนึ่งของ เพจก็แค่ปริญญาเอก ในครั้งนี้ จะช่วยเติมแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่กำลังเรียน กำลังลังเล หรือกำลังเดินตามเส้นทางเดียวกันได้ไม่มากก็น้อย เพราะปริญญาเอกไม่ใช่เพียงคำนำหน้าชื่อ แต่อาจเป็นบทเรียนชีวิตที่เปลี่ยนมุมมองของเราไปตลอดกาล

แล้วพบกันใหม่ในบทสัมภาษณ์ครั้งต่อไปนะคะ

ใส่ความเห็น