วันนี้เพจก็แค่ปริญญาเอกได้พบกับ ดร.สาวคนเก่งมากความสามารถ ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก เธอผู้นี้คือ ร.ต.อ.หญิง พรพรรษ ศรีศศลักษณ์ หรือ ดร.แพร แขกรับเชิญคนล่าสุดของเพจก็แค่ปริญญาเอก ที่เราภูมิใจและอยากให้คุณได้รู้จักกับเธอ เราเชื่อว่าบทสัมภาษณ์ของเธอในวันนี้จะทำให้คุณได้รับข้อคิดดี ๆ จากเธอ และช่วยจุดไฟในการเรียนปริญญาเอกของคุณอย่างแน่นอน ไปทำความรู้จักกับเธอกัน…

สวัสดีค่ะ อยากให้ ดร.แพร แนะนำตัวให้เราฟังนิดนึงนะคะ
สวัสดีค่ะ ร.ต.อ.หญิง พรพรรษ ศรีศศลักษณ์ ถ้าเป็นพี่ ๆ ที่ทำงานมักเรียกว่า “ผู้กองน้องแพร” ค่ะ แพรจบปริญญาตรีด้าน Communication Arts จาก BUIC ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ใช้เวลาเรียนประมาณ 3 ปีนิด ๆ จากที่จบก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันทำให้ต้องไปรับปริญญาร่วมกับรุ่นพี่แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสรับเนื่องจากได้รับจดหมายตอบรับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยที่สวิตเซอร์แลนด์พอดี ซึ่งแพรเรียนหลักสูตร Master of Science Degree in International Hospitality Management จาก Business and Hotel Management School, Robert Gordon University Aberdeen
หลังจากนั้นก็ฝึกงานและทำงานต่อตำแหน่ง Receptionist ในโรงแรมที่สเปนอีกสักพักหนึ่งก่อนที่จะได้บรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดกองการต่างประเทศ พอทำงานได้สักพักก็เลยขอลาศึกษาต่อต่างประเทศ ในระดับปริญญาโทอีกใบที่สเปน ซึ่งแพรเลือกเรียนในสาขา MBA in International Talent Management and Leadership ที่ Unversisdad Catolica de Murcia ในระหว่างที่เรียนปริญญาโทแพรก็เรียนปริญญาเอกไว้ก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว ซึ่งแพรเลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ ด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพค่ะ

ทำไมถึงตัดสินใจมาเรียนปริญญาเอก
จำได้ว่าระหว่างพักกลางวันที่ที่ทำงาน แพรหยิบนิตยสารของที่ทำงานเล่มหนึ่งออกมาอ่านแล้วเปิดไปเจอคอลัมน์สัมภาษณ์ของนักการเมืองผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งท่านเคยเป็นอดีตโฆษกฯ พอเราอ่านเราก็รู้สึกว่า ทำไมท่านถึงเก่งจังเลย พออ่านจบเลยโทรหาคุณพ่อทันที แล้วบอกท่านว่าถ้าอยากเรียนต่อปริญญาเอกเลยได้ไหมคะ หลังจากนั้นคุณพ่อก็ให้เบอร์ของคณบดีเพื่อโทรไปปรึกษาท่าน ซึ่งพอเราปรึกษากับท่านคณบดีเสร็จท่านก็บอกว่าลองไปคิดดู เราก็ตอบตกลงกลับไปทันที และเริ่มเรียนปลายอาทิตย์นั้นเลย ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เร็วมาก แพรเชื่อว่าการศึกษาเป็น asset ที่ดีที่สุด เหมือนที่คุณพ่อเคยบอกไว้ว่า ท่านไม่มีสมบัติอะไรมากมายจะให้นอกจากการศึกษา ค่ะ

ทำ thesis เกี่ยวกับอะไรคะ
แพรทำวิจัยเกี่ยวกับการหาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่ง ณ ขณะนั้น ได้มีโอกาสไปช่วยราชการที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพอดีค่ะ เลยมีความสนใจอยากศึกษาเกี่ยวกับศักยภาพของเจ้าหน้าที่ ซึ่งก็สอดคล้องกับสาขาของปริญญาโทที่แพรเรียนอยู่ด้วยพอดี ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และด้านภาวะผู้นำ ซึ่งมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดอย่างหนึ่งขององค์กร องค์กรหลาย ๆ องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ล้วนมีปัจจัยสำคัญมาจากบุคลากรในองค์กรนั้น ๆ เป็นผู้ขับเคลื่อน

ซึ่งแพรขอยกคำพูดของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. ที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “คนที่เรียนจบใหม่ๆต้องหาพี่เลี้ยงที่ดี ให้เป็นแม่แบบ เพราะจากประสบการณ์ชีวิตทำให้รู้ว่า คนจบมาใหม่ไม่ว่าใครก็ตามต้องการโมเดลที่ดี ไม่อย่างงั้นจะเป๋ออกนอกทาง” ซึ่งแพรเห็นด้วยกับท่านที่สุด เพราะจากประสบการณ์ทำงานในการรับราชการเป็นตำรวจในปีแรก ๆ นั้น แพรเจอผู้บังคับบัญชาที่ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ดี และขาดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารคนอยู่มากพอควร ที่ยิ่งกว่านั้นบางคนมี EQ และ MQ ต่ำนี่เปรียบเสมือนเนื้อร้ายขององค์กร คนเหล่านี้จะสร้างบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยวในการปฏิบัติงานให้แก่เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งแพรเคยเจอทั้งผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานเกือบทุกแบบทั้งดีและไม่ดี แพรจึงเกิดคำถามวิจัยในเรื่องนี้ ซึ่งบอกเลยว่าองค์กรได้รับประโยชน์จากงานวิจัยแน่นอนค่ะ เพราะจุดบอดของตำรวจส่วนใหญ่ที่สมควรปรับปรุงที่สุดก็น่าจะเรื่อง “คน”
ใช้เวลาเรียนกี่ปี
แพรใช้เวลาเรียนทั้งหมดจนถึงการสอบ Defense เป็นเวลา 2 ปี 5 เดือน แต่ก็ต้องรอยื่นจบตอน 2 ปี 8 เดือน ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้ ซึ่งถือว่าเร็วสุดแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าที่จบเร็วจะไม่มีคุณภาพนะคะ แพรเชื่อในการวางแผนและจัดสรรเวลามากกว่าค่ะ ซึ่งแพรตั้งเป้าไว้แต่แรกแล้วว่าหลักสูตรกำหนดขั้นต่ำสุดใช้เวลาเท่าไหร่เราก็ปักธงไว้ที่นั่น การวางแผนสำคัญที่สุดค่ะ

ระหว่างเรียนพบอุปสรรคหรือปัญหาอะไรบ้างไหมคะ
อย่างแรกเลยก็น่าจะเป็นปัญหาในด้านของการติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่เหมือนกัน เนื่องจากว่าระหว่างที่เรียนปริญญาเอกตอนนั้นแพรก็ยังเรียนปริญญาโทอยู่สเปนด้วย ดังนั้น เวลาเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาจะต้องนัดเวลาให้ดี เพราะ time zone difference อีกทั้งจะต้องคุยผ่านระบบออนไลน์
อีกเรื่องหนึ่งคือการแบ่งเวลาระหว่างการเรียนปริญญาโทและการทำวิจัยปริญญาเอก เราจะต้องมีวินัยในตัวเองและเราจะต้องรู้จัก prioritize จัดลำดับความสำคัญว่า ณ ขณะนั้นงานชิ้นไหนเราควรทำก่อนเป็นอันดับแรก อันไหนยังพอมีเวลาก็ค่อยทำทีหลัง ซึ่งแพรใช้ Time Management ในการจัดลำดับความสำคัญทั้งเรื่องเรียน การทำงาน และเรื่องส่วนตัว เป็นประจำอยู่แล้ว ถือว่าเป็นหลักการจัดเวลาที่ดีเยี่ยมเลยก็ว่าได้
หากย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะพูดกับตัวเองว่า You know who is going to give you everything? ซึ่งคำตอบก็แน่นอนอยู่แล้วว่าคือ ตัวเราเอง ค่ะ

ปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณเรียนสำเร็จ
ต้องขอขอบคุณในความมุมานะและความ Resilience ของตัวเอง ที่ไม่ว่าจะเจออุปสรรคเยอะแค่ไหนก็อดทนและกัดฟันลุยต่อ โดยเฉพาะในช่วงการเก็บข้อมูลทำวิจัยซึ่งเป็นช่วงที่ยากลำบากมาก
นอกจากความพยายามของตัวเองแล้วก็ต้องขอขอบคุณครอบครัวโดยเฉพาะคุณแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบใจเวลาที่ท้อแท้ แต่มองว่าการทำวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จนอกจากกำลังใจจากคนใกล้ตัวแล้วยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราด้วย เช่นการได้รับความร่วมมือจากผู้ให้สัมภาษณ์ ก็เป็นตัวแปรสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้วิทยานิพนธ์ของเราสำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงเพื่อนๆพี่ๆที่เรียนปริญญาเอกด้วยกันที่คอยช่วยเหลือแนะนำ อธิบายเวลาที่แพรไม่เข้าใจ

ปัจจุบันได้ใช้ทักษะความรู้จากการเรียนมาประยุกต์ใช้กับงานหรือไม่
คิดว่าได้ใช้แน่นอนค่ะ วิทยานิพนธ์ที่ทำก็ทำเกี่ยวกับองค์กรที่เราทำงานอยู่โดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานและสังคมไม่มากก็น้อย หากหน่วยงานได้นำไปประยุกต์ใช้เพื่อกำหนดแผนและนโยบาย ตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มสมรรถนะของการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะเราก็ได้มีการเสนอแนวทางไว้ให้แล้ว
นอกจากนี้แพรก็ยังได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็น อาจารย์พิเศษสอนด้านการบริหารที่มหาวิทยาลัยอีกหน้างานหนึ่งด้วย ซึ่งก็เป็นงานที่ทำให้เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้นำองค์ความรู้ ประสบการณ์ที่เราเรียนมาถ่ายทอด ในจุดนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกันค่ะ

สุดท้ายมีข้อคิดอะไรอยากฝากอะไรไว้ให้กับผู้ที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่หรือผู้ที่สนใจเรียนปริญญาเอกไหมคะ
อยากฝากไว้สำหรับผู้ที่กำลังเรียนปริญญาเอกหรือผู้ที่สนใจเรียนปริญญาเอกว่า
“Don’t give up on the person you’re becoming” มันอาจจะเป็นประโยคที่ค่อนข้างจะ cliché นิด ๆ แต่ว่ามันใช้ได้ตลอด แพรเชื่อว่าทุก ๆ คนมีบุคคลที่เรายึดเป็นไอดอลหรือบุคคลในจินตนาการที่ตัวเองอยากจะเป็น แต่ความแตกต่างระหว่างความฝันกับเป้าหมายคือ action ถ้าเรามี discipline ที่ดีและสม่ำเสมอ เป้าหมายนั้นก็จะไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ
อีกอย่างที่อยากจะฝากไว้คือ เราต้องมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ ต้องมี self-love และ self-respect ถึงแม้ว่าใครจะมองเราแบบไหนหรือปรามาสเราอย่างไรก็ตามแต่เราต้องไม่เป็นคนที่ทรยศกับความรู้สึกและตัวตนของเราค่ะ

…เพจก็แค่ปริญญาเอก ขอแสดงความยินดีกับ ดร.แพร และขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจและการแบ่งปันประสบการณ์ พร้อมข้อคิดมุมมองที่เป็นประโยชน์กับทางเพจนะคะ