ดร.ส้มโอ เพิ่งสำเร็จการศึกษาจาก University of Leeds ประเทศอังกฤษ เธอพกเอาความสดใสมาพบกับเรา ไปฟังข้อคิดและประสบการณ์ที่เธอได้จากการเรียนปริญญาเอกของเธอกัน

แนะนำตัวนิดนึง
สวัสดีค่ะทุกคน ชื่อ นภาลัย บัวสุวรรณ นะคะ ชื่อเล่นชื่อ ส้มโอ ค่ะ ส้มโอเรียนจบปริญญาตรี สาขา บริหารธุรกิจ (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากมหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาลัยนานาชาติ (BUUIC) ปริญญาโท (MSc) International Business (เกียรตินิยมอันดับ 2) จาก University of Leeds ประเทศอังกฤษ และจบปริญญาเอก (PhD) สาขา Information Management (AIMTech) อยู่ในสังกัดของ Business School จาก University of Leeds ประเทศอังกฤษค่ะ ส้มโอเพิ่งเรียนจบเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ ปัจจุบันเลยกำลังอยู่ในช่วงรองานค่ะ
ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ วันที่เรียนจบ รู้สึกอย่างไรบ้างคะ
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ใช่ค่ะ เพิ่งเรียนจบหมาด ๆ เลย เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เองค่ะ ความรู้สึกวันที่เรียนจบ บอกตรง ๆ เลยค่ะว่า อย่างแรกก็คือ “โล่ง” มาก ๆ ที่เราผ่านแล้ว และทำสำเร็จสักที ช่วงเวลาเรียนมันเป็นช่วงเวลาที่มืดมนมาก ๆ ตอนเรียนรู้สึกหมือนเราเดินอยู่ในอุโมงค์มืด ๆ มองไม่เห็นทางออก ไม่รู้ทางออกอยู่ทางไหน จะได้ออกไปเมื่อไรนะ แต่พอจบแล้วความรู้สึกส่วนหนึ่งก็คือโล่ง อีกความรู้สึกนึงก็คือ ดีใจและก็ภูมิใจในตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อท้อ และฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาเพื่อให้มาถึงวันนี้ค่ะ
ทำดุษฎีนิพนธ์เกี่ยวกับอะไร มีข้อค้นพบอะไรที่สำคัญและอยากแบ่งปันไหมคะ
หัวข้อ thesis ของส้มโอคือ “Social media and Collaborative Information Behaviour (CIB) intergenerational difference in a multinational company setting“ เป็นหัวข้อที่ศึกษาเรื่องพฤติกรรมสารสนเทศของการมีส่วนร่วมกัน (collaborative information behaviour) ในกลุ่มคนต่างรุ่น ต่าง Generation โดยที่ social media เป็น platform ที่ใช้ในการแชร์ข้อมูล (information sharing) และเพื่อทำงานร่วมกัน (collaboration) ซึ่งวิจัยนี้ใช้บริษัทข้ามชาติ เป็น case study ค่ะ
ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ส้มโอศึกษาว่า คนต่างวัย ต่าง Generation เช่น Baby Boomer, Gen X, Gen Y ใช้ social media ในการทำงานร่วมกันและแชร์ข้อมูลอย่างไรในบริษัทข้ามชาติ และมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดความแตกต่าง หรืออุปสรรคอะไรที่มาจากความต่างของรุ่น หรือ Generation นั่นเองค่ะ เพราะว่าตามทฤษฎีกล่าวว่า คนรุ่นใหม่ในกลุ่มที่อยู่ใน Gen Y และ Gen Z เป็นต้นมา จัดเป็นกลุ่มที่เรียกว่า Digital native ก็คือคนกลุ่มนี้เกิดมาบนโลกและสภาพแวดล้อมที่พร้อมไปด้วยเทคโนโลยี จึงทำให้คนรุ่นใหม่นี้มีความคุ้นชินและชำนาญในการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ
แต่ทางตรงกันข้าม คนรุ่นก่อนอย่าง Baby Boomer และ Gen X ทางทฤษฎีจัดให้อยู่ในกลุ่ม Digital immigrant เป็นยุคที่เทคโนโลยีเพิ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตทีหลัง ช่วงวัยที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว (adult life) ค่ะ ก็เลยมาศึกษาเพื่อหาว่า เอ…มีปัจจัยอะไรที่มันมากกว่านี้ไหมนะ ประมาณนี้ค่ะ
ส่วนสิ่งที่ค้นพบในวิจัยของส้มโอ ก็เป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะ sensitive นิดนึงค่ะ ในการศึกษาพบว่า เรื่องของการต่างรุ่น ต่าง generation เนี่ยค่ะ สิ่งที่เป็นอุปสรรคที่พบก็คือ วัฒนธรรมในเรื่องของ “ผู้หลักผู้ใหญ่” (respect elderly) ในประเทศเราที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กรด้วย พฤติกรรมสารสนเทศด้วย และการใช้ social media ด้วยค่ะ และยังโยงไปกับการนำ technology หรือ platform ใหม่ ๆ ที่จะนำเข้ามาใช้ในองค์กรด้วย ในส่วนนี้ก็เป็นการอ้างอิงจาก case นี้ค่ะ
ขอย้อนถามว่า ทำไมถึงตัดสินใจมาเรียนปริญญาเอก
สมัยเด็ก ๆ ส้มโอเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง และไม่ตั้งใจเรียน จึงทำให้โดนดูถูกเยอะมาก ๆ จำได้แม่นเลยค่ะ สมัยตอนอยู่ประถม มีครูหลายท่านพูดกับส้มโอว่า “อย่างเธอจะไปเรียนจบอะไรได้ ม.ปลายคงไม่มีปัญญาได้เรียนหรอก ให้พ่อแม่เธอหาตังค์ไว้ให้เยอะ ๆ แล้วกัน เธอคงเอาตัวไม่รอด” ซึ่งเป็นประโยคที่ฝังใจมาก ๆ ค่ะ บวกกับสมัยก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ ญาติ ๆ ฝั่งคุณพ่อก็มีการรวมญาติจัดงานเลี้ยงปีใหม่กันทุกปี ญาติ ๆ ก็จะชอบถามลูก ๆ หลาน ๆ ว่า ได้เกรดเท่าไรกันบ้าง ซึ่งลูก ๆ หลาน ๆ ทุกคนได้เกรดดี คะแนน top กันหมด มีส้มโอที่ได้โหล่ท้ายห้องตลอด และทุกครั้งที่ถูกถาม ส้มโอก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะพอหันไปเห็นสีหน้าของพ่อและแม่ทีไรมันก็บอกไม่ถูกค่ะ เหมือนเรารู้สึกว่าเราไม่ดีพอ ซึ่งจริง ๆ ก็เข้าใจนะคะว่าญาติ ๆ คงไม่ได้มีเจตนาอะไร แต่ส้มโอก็รู้สึกจากจุดนั้นว่า สักวันจะต้องเรียนให้สูง พ่อแม่จะต้องไม่อายใครอีกแล้ว
อีกเหตุผลนึงที่ตัดสินใจเรียนป.เอกก็คือ อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยค่ะ เพราะเป็นคนชอบการสอน ชอบเล่าเรื่อง ชอบแชร์ความรู้ต่าง ๆ ตอนก่อนไปเรียนป.เอก ก็มีรับจ๊อบสอนพิเศษด้วยค่ะ เลยทำให้รู้สึกว่าชอบมาก ๆ ชอบเวลาที่นักเรียนที่เราสอนไปประสบความสำเร็จ แล้วเห็นพวกเขาโตและใช้ชีวิตแบบที่เขาต้องการและมีความสุขในทางที่เขาเลือก และก็จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจอครูหลายท่านดูถูกไว้ตั้งแต่ตอนสมัยส้มโอเด็ก ๆ ส้มโอเลยตั้งมั่นว่า “หากวันนึงมีโอกาสได้เป็นครู อาจารย์ หรือได้สอนคนไม่ว่าด้วยวิธีไหน จะไม่ทำพฤติกรรม หรือพูดจาทำร้ายจิตใจนักเรียนเด็ดขาด” ก็เลยทำให้ส้มโอตัดสินใจอย่างแน่วแน่และด้วย passion ที่แรงกล้ามาก ๆ ว่า “จะต้องจบ PhD ให้ได้” ค่ะ
ระหว่างเรียนปริญญาเอก ชีวิตเป็นอย่างไรบ้างคะ เล่าให้เราฟังหน่อย
อือหือ…ชีวิตป.เอก ที่ Leeds มันส์มากค่ะ หลากหลายรส มีครบทุกรสเลยค่ะ เวลามีความสุขก็สุขสุด ๆ เวลาดิ่ง ก็ดิ่งสุด ๆ ไปเลยค่ะ อย่างตอนปีแรก ป.เอก Business School ที่ Leeds จะมี coursework ให้เรียนค่ะ เทอมแรกเจอวิชา Philosophy of social science อึนและมึนไปเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจ เตรียม passion พกมาเยอะมาก เจอของจริง ก็ไปไม่เป็นเลยค่ะ ถึงขั้นจะลาออกและไม่เอาแล้วตั้งแต่อาทิตย์แรกเลยค่ะ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเองแล้วล่ะ แต่คุณพ่อไม่ยอม พ่อบอกประมาณว่า ไปทำยังไงก็ได้ให้เรียนให้จบ และให้ช่วงที่เรียนให้มีความสุขในการเรียน เลยก้มหน้ารับชะตากรรมและกัดฟันทนเรียนมาจนจบค่ะ
หลังจากวันนั้นที่พ่อบอกแบบนั้น ส้มโอก็พยายามหาความสุขระหว่างเรียนค่ะ และส้มโอก็เลยหาความสุขจากการเต้น Zumba ค่ะ ตอนอยู่เมืองไทยส้มโอได้เต้น Zumba กับครูหนุ่ม Zumba ครูเซเลปที่ The Studio คือมันส์มาก สนุกมาก มีแต่ความ positive และมันมีความสุขที่สุดเลยตอนอยู่ในคลาสครูหนุ่ม แต่พอไปเต้นในยิมที่ Leeds มันก็พอสนุก แต่ก็คือไม่ค่อยฟินเท่าคลาสครู (แหม จะไปเทียบได้ยังไงนะคะ) ส้มโอเลยตัดสินใจ สมัครเป็นครูสอน Zumba ไปเลย เอาสิ่งที่เรียนจากคลาสครูหนุ่มมาสอน เพื่อไปประกาศศักดาให้ชาว ฝ. และชาวต่างชาติได้เห็นว่า Zumba คนไทยสนุกกว่ามาก ๆ ก็สู้รบในการสมัครและการให้เค้ายอมรับเราไปสอนอยู่นานมาก ๆ เพราะก็เค้าก็จะมี culture และระบบของเค้าค่ะ จนในที่สุดก็ได้เป็น Zumba instructor ที่ The Edge ช่วงแรก ๆ ก็จะไม่มีคนมาเต้นเท่าไร เพราะเค้าไม่รู้จักเรา และก็เป็นเอเชียคนแรกด้วยค่ะที่ได้ไปสอน ตอนแรกสอนแบบไม่ได้ตังค์เลยค่ะ สอนแบบ 1 เพลงในคลาสของครู Zumba คนอื่นอยู่ประมาณปีนึง ถึงจะมีคลาสเป็นของตัวเองค่ะ สอน Zumba คือสนุกมาก ๆ แล้วคลาสส้มโอเป็นคลาสที่เอาความกรี๊ดกร๊าด ความ entertain ไปสู่ชาว ฝ. แรก ๆ ฝ. ก็งง ๆ นิดนึง แต่สุดท้ายเค้าก็ชอบกัน และครูคลาส Zumba อื่น ๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าด และก็ entertain มากขึ้นตามค่ะ
นอกจากสอน Zumba แล้ว ชีวิตนอกเหนือการเรียน ป. เอก ส้มโอก็ได้ลองทำงาน part time หลากหลายมากค่ะ มีไปเป็นเด็กเสิรฟ์ที่ร้านอาหารไทยใน Harrogate คือส้มโออ่ะ เป็นคนน้ำหนักเกิน น้ำหนักเกิน = ก็อ้วนแหละเนอะ คือไปสมัครร้านไหน ก็ไม่มีชุดไทย ก็โดน reject มา แต่มีร้านนี้ค่ะที่รับ ซึ่งส้มโอก็ทำได้อยู่แค่ 2 เดือนเองค่ะ ก็รู้สึกว่า สุขภาพเรามันไม่ค่อยไหวด้วย และอีกที่ที่ได้ลองทำคือ ร้านนวดไทยโบราณค่ะ แต่ไม่ได้ลงมือนวดนะคะ ไปเป็น receptionist คอยจัด appointment คุยกะลูกค้า ซึ่งงานนี้ก็มันส์มาก ได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ พี่ ๆ และน้อง ๆ ที่ทำงานด้วยน่ารักมาก ๆ แต่ลูกค้าก็มีหลายแบบค่ะ คือได้เรียนรู้เรื่องมุมมองต่าง ๆ ของคนจากงานนี้เลยค่ะทำให้ทันคนมาระดับนึงเลยค่ะ
อีกงานนึงก็คือ ส้มโอก็ได้สอนที่ Business School ด้วยค่ะ ได้เป็นทั้ง TA เป็น facilitator แล้วก็ได้สอน lecture ด้วย สอนนักศึกษาป.ตรี แล้วก็ป.โท และก็มีตรวจงานนักศึกษา ตรวจข้อสอบด้วย งานนี้ก็สนุก และได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์ด้านวิชาการจากอาจารย์เจ้าของวิชา และนักศึกษาก็สอนอะไรหลาย ๆ อย่างเยอะเหมือนกันค่ะ นักศึกษาที่อังกฤษเค้าถูกฝึกให้คิดวิเคราะห์กันเป็นระบบจริง ๆ จากระบบการสอนของที่โน่น เห็นแล้วก็น่าชื่นชมมาก ๆ ค่ะและก็ทำให้ส้มโอเห็นจุดอ่อนของตัวเองเพื่อนำไปพัฒนาตัวเองต่อด้วยค่ะ
ระหว่างเรียนเจออุปสรรคอะไรบ้างไหมคะ
โอ้โห มันเจอเยอะมาก ๆ จนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนเลยดีค่ะ แต่ถ้าปัญหาที่คิดว่าหนักที่สุดที่อยากจะแชร์ก็คือ โดนอาจารย์ที่ปรึกษาเทไปเกือบ 1 ปีค่ะ จริง ๆ มีปัญหากับอาจารย์ที่ปรึกษามาตั้งแต่ช่วงปี 3 แล้วค่ะ เหมือนคุยกันไม่เข้าใจ เค้าก็ไม่เข้าใจบริบทและเหมือนไม่ค่อยได้รับคำแนะนำอะไรเท่าไร และได้รับคอมเมนต์ที่ไม่ค่อย constructive เท่าไรค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทำให้เรา lost มาก ยิ่งคุยกับที่ปรึกษาก็คือยิ่ง lost และบวกกับตอนนั้นส้มโอตัดสินใจจะบินกลับมาเขียนเล่มที่ไทยช่วงปี 2019 เพราะปัญหากับอาจารย์ที่ปรึกษาและความกดดันต่าง ๆ ทำให้เราเครียดและกระทบจิตใจอย่างมาก มากจนเรากินข้าวอะไรไม่อร่อย กินอะไรไม่ได้ ช่วงนั้นกินแต่ไก่ต้ม และผักต้ม ไม่ปรุงอะไรเลยก็คิดว่ากินไปเถอะ กินให้มีชีวิตอยู่แบบนี้เลยค่ะ
ช่วงที่กลับมาเขียน thesis ที่เมืองไทย ส้มโอส่งงานไปตลอดทุกเดือน ส่งงานอะไรไปก็คือ เงียบ ไม่ได้รับการตอบอีเมล เราส่งไปเยอะมาก ๆ เค้าก็ไม่ตอบ จนกระทั่งจะหมดปี 2019 ส่งเมลไปหาเค้าว่า “อาจารย์คะช่วยตอบเมลด้วยเถอะค่ะ อยากจะเรียนจบก่อนที่จะมีใครเสียชีวิตไปก่อน” อาจารย์เค้าถึงตอบอีเมลค่ะ แต่การตอบก็คือ รื้อเล่ม ทำใหม่หมดแต่แรก
ช่วงที่โควิดมา ก็เป็นช่วงแก้งาน แก้ทั้งปี ไม่พอใจสักที ส่งอะไรไปก็บอกไม่เคลียร์ เขียนใหม่ ก็อยู่ลูปนี้เลยค่ะ คิดว่าหลายคนก็คงเจอคล้าย ๆ กัน จนทำให้เราต้องต่อ extend ป เอกไปอีก 6 เดือน เพราะถ้าอาจารย์จะแก้ ๆ วนไปแบบนี้ ไม่น่าจบ 4 ปีแน่ ๆ พอต่อ 6 เดือนก็เหมือนเดิมค่ะ เขียนอยู่บทเดียวมาทั้งปี ไม่ผ่านสักทีค่ะ
จนกะทั่งก่อนคริสต์มาสปี 2020 อยู่ ๆ วันนึงก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น ตรงกับวันอาทิตย์พอดี ส้มโอก็ตื่นมาทำงานปกติ และก็เครียดแบบปกติทุกวัน จนตอนช่วงเย็น ๆ รู้สึกแขนด้านซ้ายชา ชาไปจนมาที่หน้าชา สักพักก็คือชาไปครึ่งซีก…ก็ถูกส่งเข้ารพ ห้องฉุกเฉิน ภาพที่จำได้คือหมอมารุมหลายคนมาก ๆ ความดันขึ้นไป 200 กว่า ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจเบาหวาน ตรวจคลื่นหัวใจ ตรวจปอด ตรวจทุกอย่าง จนหมอบอกว่า จะ stroke แล้ว ให้นอนโรงพยาบาลคืนนึง รอหมอเฉพาะทางมาตรวจอาการอีกที คืนนี้ห้ามขยับ ส้มโอรีบลุกจากเตียงแล้วบอกหมอว่า “ไม่ได้ค่ะ หนูต้องกลับไปทำงานป.เอกต่อ ต้องรีบส่งงานอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนคริสต์มาส”
หมอในห้องนั้นคือหันหน้ามามองแบบงง ๆ แล้วถามว่า “คนไข้ คุณจะตายแล้วนะ กลับบ้านไปแล้วถ้าไม่ทัน คุณเสียชีวิตทำยังไง” และส้มโอก็คือดึงดันจะกลับบ้าน หมอท่านเลยจำใจให้ส้มโอกลับ แต่ให้เซ็นใบยินยอมให้กลับ ก่อนกลับหมอทิ้งท้ายไว้ว่า“ถ้าไม่ไหว ให้รีบกลับมานะ” คืนนั้นมันส์มากเลย เส้นเลือดตุบ ๆ คือรู้สึกทุกอณูทั้งคืนเลย ตอนนั้นคิดในใจว่าถ้าเส้นเลือดแตกมาก็คงไม่เสียชีวิตก็พิการแน่ ๆ แต่ก็รอดมาได้นะคะ!
คือปัญหาที่เล่าอาจจะเกิดมาจากเรื่องไม่ได้ใหญ่มาก แต่คนที่เรียนป.เอก ทุกคนจะต้องเจอปัญหาต่าง ๆ ที่มากระทบทั้งสุขภาพกายและจิตใจเรา สำหรับส้มโอมันเป็นปัญหาสะสมที่ก่อให้เกิดความเครียด และปัญหาสุขภาพที่ตามมา ระบบร่างกายก็พังไปเยอะค่ะ ผมร่วง ฮอร์โมนพัง ปัญหา mental health, binge eating ต่าง ๆ ยังไม่รวมกับปัจจัยภายนอกที่มากระทบตอนที่เรียนด้วย
สุดท้ายนะคะ การเรียนป.เอกของส้มโอบวกเวลาที่ extend และกว่าจะได้สอบปกป้องป.เอก (VIVA) กว่าจะได้ใบปริญญานี้มา ก็ 5 ปี แต่เวลาเขียน thesis จริงๆ เลยก็คือใช้เวลา 3-4 เดือนสุดท้ายก่อนส่งเล่มเองค่ะ ที่เขียนมาก่อนหน้านี้ ที่แก้ ๆ อาจารย์บอกใช้ไม่ได้ ให้ไปเขียนมาใหม่ สุดท้ายส้มโอก็ต้องเสกขึ้นมาเองเลยค่ะ
ถ้าย้อนกลับไปบอกตัวเองได้…อยากบอกตัวเองว่า ชีวิตมันสั้นกว่าที่คิด ความตายอยู่ห่างเราเพียงแค่เสี้ยววินาที ให้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีกว่านี้และก็พักบ้างเถอะ เพราะตอนเขียนงาน คิดไม่ออก นั่งหน้าจอคอมไปก็คิดไม่ออกอยู่ดี ออกไปเดินเล่น ไปพักสมองบ้าง หาอะไรสนุก ๆ ทำ และอยากให้ตัดอะไรที่มัน toxic ออกจากชีวิตตั้งแต่ต้น เพราะมันบั่นทอนและไม่ได้ส่งผลดีต่ออะไรเลย ให้อยู่รอบ ๆ คนที่ positive และจริงใจกับเรามาก ๆ ค่ะ
ผ่านช่วงเวลาที่ยากของปริญญาเอกมาได้อย่างไรคะ
คำดูถูก คำพูดบูลลี่ คำสบประมาทของหลาย ๆ คนที่พูดกับส้มโอโดยตรง และกับครอบครัวส้มโอทำให้ส้มโอยอมแพ้มันไม่ได้ ช่วงเวลาเรียน ๆ อยู่ชอบมีคนมาถามว่า “เมื่อไรจะจบ” ซึ่งเป็นคำถามเหมือนไม่มีอะไร แต่มันจี้ใจทุกครั้งเลยค่ะ เหมือนมากดดันเรา และเราก็กดดันตัวเองไปอีก และมันยิ่งตอกย้ำเราว่า เราหยุดไม่ได้ เราต้องสู้ไปให้สุดทาง!
อีกสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ส้มโอผ่านช่วงเวลาที่ยาก ๆ มาได้ ก็คือ ครอบครัวและเพื่อนค่ะ อยู่เมืองไทย ส้มโอก็มีครอบครัวที่คอยสนับสนุนตลอด แม้อยู่อังกฤษก็ไม่รู้สึกว่าห่างครอบครัวเลยค่ะ คุยกันทุกวัน ส่งกำลังใจให้กันทุกวัน ตอนกลับมาเขียนเล่มที่เมืองไทย พ่อก็คอยสนับสนุนเรื่องการเรียนเสมอ แม่ก็คอยทำอาหาร ทำขนมให้ตลอด น้องชายก็คอยเอ็นเตอร์เทน คอยให้กำลังใจตลอดค่ะ
ตอนอยู่อังกฤษ ส้มโอมีพี่คนไทยที่ส้มโอรู้จักมานานมาก ๆ ชื่อ พี่อ้อย ส้มโอนับถือพี่อ้อยเหมือนเป็นคนในครอบครัวส้มโอเลยค่ะ พี่อ้อยอยู่ Wakefield เมืองใกล้ ๆ Leeds ทำให้เวลามีอะไรส้มโอจะไปหาพี่อ้อย โทรหาพี่อ้อย และคอยปรับทุกข์กับพี่เค้าเสมอ พี่อ้อยก็จะคอยสอนหลาย ๆ อย่างให้ส้มโอเสมอเลยค่ะ และยังมีพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ที่คอยช่วยเหลือทุกเรื่อง คอยให้กำลังใจกัน แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกัน และไปเที่ยวตามเมืองต่าง ๆ ในอังกฤษค่ะ ทำให้รู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยวบนเส้นทางการเรียนป.เอกนี้ ส้มโอว่าครอบครัวของส้มโอ เพื่อน ๆ และพี่ ๆ ถือเป็นกัลยาณมิตรและเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการใช้ชีวิตและเรียนปริญญาเอกที่อังกฤษ เพราะพวกเขาเหล่านี้นี่แหละค่ะที่ทำให้ช่วงเวลาที่ยาก ๆ กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีขึ้นมาได้ค่ะ
คิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณเรียนสำเร็จ
คิดว่ามาจาก 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ ค่ะ อย่างแรกก็คือ ล้มแล้วลุยต่อ ค่ะ เรียนป.เอก ต้องเจอ comment และ feedback จากอาจารย์ที่ปรึกษา ต้องแก้งานเยอะมาก ๆ เวลาได้รับ feedback มา มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกเฟลกับตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็น process ของการเรียนรู้ค่ะ อนุญาตให้ตัวเองได้ล้ม ได้รู้สึกเฟล ยอมรับข้อผิดพลาดของงานและให้อภัยตัวเองเพื่อลุยต่อ แก้งานต่อจนกว่าจะได้ เพราะเป็นเรื่องปกติที่คนเราผิดพลาดได้ เราก็แก้ไขได้ เรารู้สึกแย่ได้ ล้มได้ แต่เราก็ต้องแบกตัวเองลุกขึ้นมาสู้ต่อให้ได้ค่ะ
อย่างที่ 2 ก็คือ การพักค่ะ เพิ่งมาใช้ข้อนี้ช่วงก่อนส่งเล่ม ซึ่งมันเวิร์คมากค่ะ แต่ก่อนทำหามรุ่งหามค่ำ ไม่อนุญาตให้ตัวเองได้พักเลย อยู่หน้าจอตลอด แต่พออยู่จุด writer’s block ก็คือเขียนไม่ได้แล้ว เลยลองจัดเวลาการทำงานใน 7 วัน ให้มีวันสำหรับพักด้วยค่ะ พอได้พักแล้วกลับมาทำงานใหม่ได้ผลดีมาก ๆ เขียนงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้าหากวันไหนที่เขียนงานไม่ได้ ร่างกายต้องการพัก ก็จงฟังร่างกายแล้วไปพักแล้วจึงค่อยกลับมาเขียนใหม่ค่ะ อาจจะไปออกกำลัง เดินเล่นสักพักก็ได้ค่ะ มันเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ถูกมองข้ามแต่ดีต่อใจ ดีต่องานมาก ๆ ค่ะ
มีข้อคิดอะไรอยากฝากอะไรไว้ให้ผู้ที่กำลังเรียนปริญญาเอก
ก่อนอื่นก็อยากส่งกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ค่ะ เข้าใจมาก ๆ ว่ามันยาก มันโดดเดี่ยว มันต้องฝ่าฟันเจอกับอะไรเยอะมาก ๆ เรื่องราวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่อยากบอกทุกคนว่า ไม่ว่าจะยากแค่ไหน เรื่องยาก ๆ ที่เรากำลังเจออยู่ ทุกอย่างเราจะผ่านมันไปได้ ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพกายและจิตใจให้ดี ถ้าเหนื่อยไม่ไหวแล้ว คิดงานไม่ออก ก็ให้เวลากับตัวเอง ไปพักผ่อน ไปทำอะไรอย่างอื่น แล้วค่อยกลับมาลุยกันต่อ และทุกคนจะทำสำเร็จแน่นอนค่ะ
คำที่ส้มโอยึดถือตลอดเวลาช่วงที่เรียนอยู่ก็คือ “small progress is still a progress” เฉลิมฉลองทุกความสำเร็จเล็ก ๆ ของเรานะคะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อ่าน journal ได้แค่ 1 journal เราก็นับว่า เรายังอยู่ใน progress โปรดอย่ามองข้ามงานเล็ก ๆ พวกนี้นะคะ เพราะงานเล็ก ๆ พวกนี้แหละที่จะช่วยให้เราสร้างผลงานออกมาได้ค่ะ
คำว่า ก็แค่ปริญญาเอก มีความหมายว่าอย่างไรสำหรับคุณ
อาจารย์ที่ปรึกษาบอกส้มโอว่า “PhD is just a training for research” สำหรับส้มโอ “ก็แค่ปริญญาเอก” มีความหมายตรงกับประโยคนี้เลยค่ะ ส้มโอคิดว่ายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะแยะมากมายเลยในโลกนี้ การเรียนป.เอกนั้นมันยากมาก ๆ แต่ความยากนี้นั้น ก็คือการเทรนเราให้พร้อมไปเผชิญชีวิตข้างหน้าต่อไป ส่วนการจบปริญญาเอกเป็นเหมือนการปิด chapter นึงของการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้สำเร็จ และชีวิตหลังจากนี้ก็คือการเริ่มต้นอีกบทบาทอีก chapter นึงของเรา เพราะมนุษย์เรานั้นเกิดมาบนโลกนี้เพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิตต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ
***
เพจก็แค่ปริญญาเอก ขอขอบคุณ ดร.ส้มโอ กับการแบ่งปันประสบการณ์และข้อคิดมุมมองต่อการเรียนปริญญาเอกที่ล้ำค่าเหลือเกินค่ะ เชื่อว่าหลายคนที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้จบลง จะได้ประโยชน์จากการแบ่งปันในครั้งนี้เป็นอย่างดีค่ะ
เพจก็แค่ปริญญาเอก ยินดีเปิดพื้นที่สำหรับการแบ่งปัน เชิญชวน inbox มาหาเรา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์การเรียนปริญญาเอกให้กับเพื่อน ๆ คนอื่นกันนะคะ