“จัดสรรเวลา แบ่งเวลาให้คุณได้ใช้คำว่า “ชีวิต” ให้เหมาะสม อย่าเรียนจนเครียดมากมายให้เวลา หาโอกาส ออกไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับเมืองและผู้คนบ้าง มันจะทำให้คุณรู้ว่าการที่คุณเรียนเอกคุณไม่ใช่ได้แค่ใบปริญญากลับบ้าน แต่คุณยังได้ความทรงจำดีๆของชีวิตกลับไปด้วย”
“อยากให้มองทุกอย่างในแง่ดีเสมอ มันอาจจะเหนื่อย ท้อ และหนัก
สุดท้าย ความ สำเร็จมันอยู่ที่ปลายทางนั่นแหละ
อย่าเครียด จงเดินไปหามันด้วยรอยยิ้มนะคะ
คำที่พูดกับตัวเองบ่อยๆ คือ “everything ‘s gonna be fine”
….แขกรับเชิญที่จะมาพูดคุยเกี่ยวกับการเรียนปริญญาเอกในวันนี้ เป็นดร.สาวคนเก่ง ที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรมาหมาดๆ
ดร.จาว มุฑิตา สงฆ์จันทร์ หรือที่นิสิตชอบเรียกว่า อาจารย์มุ จบปริญญาเอกจาก Department of Automatic Control and Systems, University of Sheffield เธอมาพร้อมกับ concept การเรียนป.เอกที่ไม่เหมือนกับใคร คือ “เรียนไปเที่ยวไป” เธอถือว่า “การเรียนปริญญาเอก” กับการ “แบกกระเป๋าเป้ท่องโลก” เป็นวิถีทางที่ลงตัวที่สุดสำหรับเธอ
สาขาที่เรียนเกี่ยวกับอะไรคะ…
วิศวกรรมระบบควบคุม ค่ะ ทำ thesis เกี่ยวกับ Algorithm ที่ใช้ในการควบคุมระบบที่มีการทำงานวนรอบซ้ำ เพื่อให้ได้เอาท์พุตที่มีค่าความผิดพลาดน้อยที่สุด
ทำไมถึงตัดสินใจเรียนปริญญาเอกคะ…
มันคือไฟท์บังคับในหน้าที่การงานมากกว่าค่ะ เนื่องจากว่าทำงานเป็นอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัย ดังนั้น สำหรับหน้าที่การงานแล้ว การเรียนต่อถึงขั้นปริญญาเอกมีความสำคัญมาก และประกอบกับได้ทุนเรียนต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนไขว่คว้า แต่เรากลับได้มาอย่างง่ายดาย เพราะช่วงนั้นทุนรัฐบาลมีโควต้าให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งประเทศ เราเลยถือว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสได้ไปร่ำเรียน ตอนนั้นก็เลยสมัครไปเรียน โดยเลือกดูมหาวิทยาลัยที่มีคณะที่เราสนใจ แล้วจัดการเขียนใบสมัครส่งไปประมาณ 3-4 มหาลัย
ระหว่างที่เรียนได้พบเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างคะ…
ถ้าจะถามถึงปัญหาบอกเลยว่าเยอะมาก ซึ่งจาวก็ไม่รู้ว่าทุกคนที่ไปเคยได้ประสบกับปัญหาแบบนี้หรือเปล่า ไม่ว่าปัญหาเล็กปัญหาใหญ่ มีเข้ามาอยู่เรื่อยๆในระหว่างที่เรียน…
ปัญหาแรกที่เจอเลยคือเรื่องของภาษา แน่นอน เด็กวิศวะ ภาษาไม่ได้ดีเริ่ด แค่พอพูดได้ อ่านกับเขียนนี่เก่งเลย แต่พูดกับฟังนี่แบบหนักเอาการ จาวไปเรียนที่ Sheffield ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือของลอนดอนซึ่งภาษาพื้นเมืองจริงๆก็จะออกเสียงแปลกๆ แต่โชคดีที่ Supervisor เป็นคนภาษาอังกฤษสำนวนเมืองหลวง ฟังง่าย เข้าใจง่าย แต่ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันช่วงเดือนแรกนี่คุยกับใครไม่รู้เรื่องเลยเชียว แต่พอผ่านไปซักระยะ แน่นอน เก่งขึ้นเยอะ
ส่วนปัญหาเรื่องการทำ thesis ที่หนักหนาเอาการคือช่วงแรก ในช่วงที่ต้องหาหัวข้อ เพราะการหาหัวข้อปริญญาเอกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใหม่ ใช้งานได้จริง เป็นที่ยอมรับ ซึ่งกว่าจะได้หัวข้อก็ปาไปเกือบ 9 เดือน ยอมรับว่าเครียดไมใช่น้อย เพราะผ่านไป 9 เดือนกับการนั่งคิด ถกปัญหากับ Sup ทุกอาทิตย์ว่าเราจะทำเรื่องนี้ดีมั้ย มีโอกาสจะเป็นไปได้หรือเปล่า พอได้เรื่องที่จะทำก็โล่งอยู่พักนึง
ปัญหาที่ตามมาคือ เราต้องทำการทดลอง และเมื่อทำการทดลองผลที่ได้ไม่เป็นตามที่คาด นี่คือปัญหาที่แทบจะทำให้หัวระเบิดกันเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าสิ่งที่เราคิดขึ้นมา มันใช้ไม่ได้ ก็ต้องทำการปรับเปลี่ยน รูปแบบ สมการ แนวคิดกันตั้งแต่ต้น และก็ทดลอง ทำวนซ้ำไปซ้ำมากันเป็นปี กว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ วันที่ Sup บอกว่า “Yes, that’s perfect” เป็นวันที่มีความสุขมากอย่าบอกใคร
ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆมาได้อย่างไรคะ…
สำหรับเรื่องเรียน หลักที่ใช้คือ อดทน และพยายาม และแน่นอนมันต้องมีเครียดบ้าง
เมื่อไหร่ที่เราเครียด จงพักและไปทำในสิ่งที่เราชอบ เมื่อไหร่ที่คิดงานไม่ออก คือคิดแล้วคิดอีก…คิดมาหลายวันแล้วไม่ออก ไปเที่ยวเลยค่ะ ออกไปเที่ยว ผ่อนคลายทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง เดี๋ยวมันจะค่อยๆคิดออกเอง
มีอะไรประทับใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย หรือ การใช้ชีวิตในต่างประเทศเล่าให้ฟังบ้างคะ…
สำหรับ University of Sheffield บอกได้เลยว่าคือบ้านหลังที่สอง รักเมืองนี้และรักประเทศนี้มาก
Sheffield เป็นเมืองเล็กๆอยู่ทางเหนือของลอนดอน แต่ถ้ามองบนแผนที่จะอยู่กึ่งกลางของเกาะอังกฤษเลย ตอนมาแรกๆด้วยความไม่คุ้นเคย ก็รู้สึกแปลก แต่พอได้อยู่รู้สึกรักเมืองนี้ และ University of Sheffield เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิด เป็นมหาวิทยาลัยที่คณะต่างๆ จะแทรกอยู่ในเมือง แต่จะมีโซนมหาวิทยาลัย อย่างที่คณะที่ไปเรียนก็จะติดกับโบสถ์และตรอกร้านค้าเล็กๆเป็นถนนยาวๆ มีผับบ้างประปราย เป็นเมืองที่ค่าครองชีพต่ำ เดินไปไหนมาไหนได้สะดวกทั้งเมือง ไม่ต้องใช้รถ หรือถ้าจะไปไกลหน่อยก็ใช้รถราง ทำให้การใช้ชีวิตที่นี่เรียบง่าย เดินมาเรียนได้ เดินไปร้านอาหารไทยเพื่อทำงานพิเศษก็ได้ คือไปไหนก็ใช้เดินเอา มีความสุขมากๆ เป็นเมืองที่หางานพิเศษทำได้ง่ายมากๆ มีทุกงาน ถ้าไม่เกี่ยง
ตอนที่เรียนมีโอกาสได้ทำงานในส่วนงาน Admission ของมหาวิทยาลัย คือมีหน้าที่ Packing ของ ส่งให้กับนักศึกษาที่จะเข้ามาเรียนที่นี่ ทำได้ทั้งปี มีงานทางเจ้าหน้าที่เค้าก็เรียกเราไปทำ email มาบอก งานหนักบ้างเบาบ้าง มีความสุขดีค่ะ
มีกิจกรรมโปรดยามว่างจากการเรียนอะไรบ้างคะ…
กิจกรรมโปรดที่สุดคงหนีไม่พ้นการท่องเที่ยว ด้วยความที่เป็นคนชอบท่องเที่ยวมากๆ และคิดอยู่เสมอว่าเราโชคดีมากที่เลือกมาเรียนในโซนยุโรป เพราะทำให้เราได้มีโอกาสที่ดีในการไปท่องยุโรป ไปได้ใกล้ บินสายการบิน Low Cost ราคาถูกมากๆถ้าเลือกช่วงดีๆ สะดวก บินไม่นาน ดังนั้นเวลาว่าง หรือไม่ว่างแต่ถ้าเครียดๆ ก็จะบินไปเที่ยวยุโรปเลย หาตั๋วหาที่พัก ก็บินไปเลย คือก่อนไปก็ทำงานที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบร้อยตามที่ Sup ต้องการ แล้วก็ลั้นลาตามประสาคนชอบเที่ยวได้เลย ได้ไปเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ กลับมาก็มีแรงมาลุยงานต่อ หรือถ้าไม่ได้ออกนอกประเทศก็จะเที่ยวเมืองใกล้ๆ เพราะแน่นอนเมืองทุกเมืองในเกาะอังกฤษถือว่าเป็นเมืองUnseen ของเราทุกเมืองอยู่แล้ว เลยมีความสุขมากกับการเที่ยวเก็บ RC
ถ้าคนสนใจจะสมัครเรียนปริญญาเอก มีคำแนะนำอะไรบ้างคะ…
อยากจะบอกว่าให้เลือกเรียนเมืองที่ใช่ ก่อนคณะที่ชอบค่ะ อาจเป็นคำแนะนำที่ดูจะแปลกไปซักหน่อย
แต่สำหรับจาวมันใช้ได้เลย ถ้าเลือกคณะที่ชอบ…เชื่อว่าเรียนคณะวิศวะที่ไหนๆ ก็ไม่ต่างกัน เพราะเราจะได้ประสบการณ์จากการเรียนเอกมาเหมือนๆ กันแน่นอน แต่การเลือกเมืองที่ใช่ สำหรับเรามันจะส่งเสริมให้การเรียนของเราดีขึ้น คือมันจะส่งเสริมในเรื่องการดำเนินชีวิต lifestyle ความเป็นอยู่ อากาศ สิ่งแวดล้อม คิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่ได้เรียนที่ sheffield และที่อังกฤษ การได้ท่องเที่ยวเยอะๆ มันทำให้การเรียนปริญญาเอกของจาวมีความหมายและมีคุณค่ามากขึ้นไปอีกค่ะ
เมื่อเรียนจบมาแล้ว มองย้อนหลังประสบการณ์ที่ผ่านมา มีข้อคิดหรือมุมมองอะไรที่อยากฝากสำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่บ้าง…
อยากฝากให้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า จัดสรรเวลา แบ่งเวลาให้คุณได้ใช้คำว่า “ชีวิต” ให้เหมาะสม อย่าเรียนจนเครียดมากมาย ให้เวลา หาโอกาสออกไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับเมืองและผู้คนในเมืองบ้าง มันจะทำให้คุณรู้ว่าการที่คุณเรียนเอกคุณไม่ใช่ได้แค่ใบปริญญากลับบ้าน แต่คุณยังได้ความทรงจำดีๆของชีวิตกลับไปด้วย
อยากให้มองทุกอย่างในแง่ดีเสมอ มันอาจจะเหนื่อย ท้อ และหนัก แต่สุดท้าย ความ สำเร็จมันอยู่ที่ปลายทางนั่นแหละ อย่าเครียด จงเดินไปหามันด้วยรอยยิ้มนะคะ คำที่พูดกับตัวเองบ่อยๆ คือ “everything ‘s gonna be fine”
สิ่งที่ได้จากปริญญาเอกมาใช้อย่างไรในปัจจุบันคะ…
ได้นำเอาลักษณะการใช้ชีวิต คำสอน หลักการ ที่เราได้มาจากมหาวิทยาลัยของเรา เลือกนำเอาแต่สิ่งที่เหมาะสมมาปรับใช้กับนิสิตในภาควิชา การให้คำแนะนำนิสิตในการทำ Project ใช้หลักการเดียวกับ supervisor ของเราเลย จัดการทุกอย่างเป็นระบบเหมือนที่เราเคยได้รับตอนเรียนค่ะ
…และวันนี้ ที่ดร.จาว จบการศึกษาปริญญาเอกมาแล้ว เธอยังคงมุ่งมั่นและทุ่มเทถ่ายทอดความรู้ให้กับนิสิตของเธออย่างเต็มกำลัง ขอบคุณมากค่ะ ที่มาแบ่งปันประสบการณ์และแง่มุมดีๆ ของการเรียนปริญญาเอก เราเชื่อว่าหลายคนอ่านเรื่องราวของเธอแล้ว แล้วคงอยากหาทุนสมัครเรียน ป.เอก เพื่อได้ไปแบกเป้ท่องโลกแบบเธอบ้างเป็นแน่